×

คอเนอร์ แบรดลีย์ ไอ้หนูสลาตันสีแดง มาแรงแบบขี่พายุทะลุฟ้า

01.02.2024
  • LOADING...
คอเนอร์ แบรดลีย์

HIGHLIGHTS

  • แบรดลีย์โชคร้ายเพราะบาดเจ็บตั้งแต่ในช่วงพรีซีซัน หลังลงเล่น 2 เกมแรกแล้วรู้สึกปวดหลังในเช้าวันหนึ่ง ปรากฏว่าไม่ใช่อาการปวดหลังธรรมดา แต่เป็นรอยร้าวในกระดูกสันหลัง ทำให้ต้องพักรักษาตัวอย่างระมัดระวัง และใช้เวลายาวนานกว่า 5 เดือนกว่าที่จะกลับมาแข็งแรงลงสนามได้อีกครั้ง
  • จุดเด่นของแบรดลีย์ไม่ใช่เรื่องของเกมรับ แต่เป็นเรื่องของการเล่นเกมรุก ขึ้นสุดลงสุด และมีทีเด็ดติดตัวพอสมควร ซึ่งมาจากพื้นฐานที่เคยเล่นในตำแหน่งปีกหรือกองกลางตัวริมเส้นมาก่อน ทำให้เรื่องของจังหวะการเติมเกมหรือจังหวะการเปิดบอลทำได้หลากหลายรูปแบบ
  • การแจ้งเกิดของแบรดลีย์ที่เห็นได้ชัดแล้วว่าเด็กคนนี้ดีพอที่จะอยู่กับสโมสรใหญ่อย่างลิเวอร์พูลในอีกหลายปีข้างหน้า นำมาสู่คำถามที่น่าสนใจในอนาคตว่า ระหว่างเขากับเทรนต์ ใครควรจะได้เป็นแบ็กขวาของลิเวอร์พูลมากกว่ากัน?

อาการบาดเจ็บของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เกิดขึ้นในจังหวะไล่กวด กาเบรียล มาร์ติเนลลี กองหน้าอาร์เซนอล ในเกมเอฟเอคัพ รอบ 3 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างความกังวลใจให้กับแฟนบอลลิเวอร์พูลอยู่ไม่น้อย

 

เพราะแบ็กขวารองกัปตันทีมรายนี้คือหัวใจและแกนกลางของทีม ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่เกมรับ แต่เป็นคนคุมจังหวะการเล่นในเกมรุกด้วยการเปิดบอลที่แม่นยำ ไปจนถึงการเติมขึ้นมาหาโอกาสทำประตูด้วยตัวเอง

 

ในเวลานั้นเองลิเวอร์พูลก็มีปัญหาที่ตำแหน่งแบ็กซ้ายด้วย เมื่อ คอสตัส ซิมิกาส บาดเจ็บตาม แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไปอีกคน นั่นหมายถึง โจ โกเมซ ที่ปกติจะเป็นคนลงทดแทนเทรนต์ ต้องโยกตัวเองไปอยู่ทางซ้ายแทน

 

โบราณว่า สถานการณ์ทำให้เกิดวีรบุรุษ และวีรบุรุษคนที่ได้โอกาสแจ้งเกิดในช่วงเวลานี้คือ คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็กขวาดาวรุ่งวัย 20 ปีชาวไอร์แลนด์เหนือ ที่ไม่เพียงแต่พิสูจน์ตัวเองว่าดีพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวทดแทนในตำแหน่งนี้

 

ผลงาน 2 แอสซิสต์ กับอีก 1 ประตูสุดสวย ในเกมที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลถล่มเชลซี 4-1 เมื่อคืนนี้ ทำให้เกิดบทสนทนาภาษาลูกหนังเรื่องใหม่

 

หรือไอ้หนูคนนี้ควรจะเป็นตัวจริงในตำแหน่งนี้แทนเทรนต์เลย?

 

 

ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่แฟนฟุตบอลลิเวอร์พูลตั้งตารอคอยว่าทีมจะมีการเสริมทัพในทีมกี่ตำแหน่ง หนึ่งในจุดที่เป็นปัญหาคือ ตำแหน่งแบ็กขวาที่จะต้องหาคนมาทดแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งกำลังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นมิดฟิลด์ในอนาคต

 

แต่จนแล้วจนรอดลิเวอร์พูลก็ไม่ได้มีการเสริมทัพในตำแหน่งนี้แต่อย่างใด เพราะมี โจ โกเมซ นักเตะสารพัดประโยชน์อยู่แล้วคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งคือ คอเนอร์ แบรดลีย์ นักเตะดาวรุ่งจากอะคาเดมีที่กลับมาสู่ต้นสังกัดหลังจากไปเล่นให้กับโบลตัน วันเดอเรอร์ส ในสัญญายืมตัวหนึ่งฤดูกาล

 

อย่างไรก็ดี แบรดลีย์โชคร้ายเพราะบาดเจ็บตั้งแต่ในช่วงพรีซีซัน หลังลงเล่น 2 เกมแรกแล้วรู้สึกปวดหลังในเช้าวันหนึ่ง ปรากฏว่าไม่ใช่อาการปวดหลังธรรมดา แต่เป็นรอยร้าวในกระดูกสันหลัง ทำให้ต้องพักรักษาตัวอย่างระมัดระวัง และใช้เวลายาวนานกว่า 5 เดือนกว่าที่จะกลับมาแข็งแรงลงสนามได้อีกครั้ง

 

ช่วงเวลาที่หายไปทำให้ไม่มีใครคิดหรือสนใจในตัวของเขามากนัก เรียกว่าไม่ได้เป็นคนที่ถูกคาดหวังสักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ เบน โด๊ก กองหน้าดาวรุ่งที่ร้อนแรงจัดในช่วงพรีซีซัน หรือ จาเรลล์ ควานซาห์ เซ็นเตอร์แบ็กที่แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

 

แต่ในความ Low-Key ของแบรดลีย์ ไอ้หนูคนนี้ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยในโอกาสที่นายใหญ่อย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ มอบให้

 

เกมแรกที่เขาได้ลงสนามคือศึกยูฟ่ายูโรปาลีกกับลัสก์ ซึ่งแบรดลีย์ถูกส่งลงมาในช่วง 8 นาทีสุดท้ายของเกม แม้ว่าจะยังเก้ๆ กังๆ ไม่ได้ทำอะไรมากนัก แต่เขาคือเด็กที่คล็อปป์มั่นใจว่าเป็น ‘ของจริง’ และเป็น ‘คนที่พึ่งพาได้’

 

โดยที่ไม่มีใครคิดว่าแบรดลีย์จะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้น

 

 

นับจากการลงสนามในเกมแรก แบรดลีย์ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละนัดที่ผ่านไป เริ่มจากพื้นฐานการเล่นสำหรับตำแหน่งแบ็กขวาคือเกมรับ ด้วยความเร็วและความแข็งแกร่ง แม้จะมีรูปร่างที่บอบบางก็ตาม

 

ประกายแสงแวบแรกเกิดขึ้นในเกมเอฟเอคัพที่พบกับอาร์เซนอล ซึ่งเป็นเกมเดียวกับที่อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บาดเจ็บ โดยเขาถูกส่งลงมายืนแบ็กขวาเพื่อช่วยเกมรับที่กำลังโดนเจาะทะลวงทางฝั่งของรองกัปตันทีมวัย 25 ปี

 

แบรดลีย์เอาชนะการดวลกับปีกที่จัดจ้านที่สุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีกอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี และได้รับคำชมเชยอย่างมาก

 

ก่อนที่เทรนต์จะบาดเจ็บต้องพักการเล่นราว 3 สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นโอกาสของแบ็กรุ่นน้องในการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวแทน

 

เริ่มจากเกมลีกคัพ หรือคาราบาวคัพ รอบรองชนะเลิศ กับฟูแลม ทั้งสองนัด ซึ่งเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง รับมือกับปีกลายครามอย่างวิลเลียนได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้ยังมีเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่พบกับบอร์นมัธ และเอฟเอคัพ รอบ 4 กับนอริช ซิตี้

 

จุดที่แบรดลีย์สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนคือ ความจัดจ้านในการเล่นเกมรุก เพราะหลังจากประเดิมการทำแอสซิสต์แรกให้ ดีโอโก โชตา ในเกมพรีเมียร์ลีกกับบอร์นมัธ หลังจากนั้นเขายังมีส่วนกับการได้ประตูของทีมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเกมเอฟเอคัพกับนอริชที่ทำไป 2 แอสซิสต์ในการเปิดให้ ดาร์วิน นูนเญซ และ ไรอัน คราเฟนแบร์ก

 

ก่อนที่จะระเบิดผลงานสุดยอดในเกมกับเชลซี ด้วยการประเดิมประตูแรกกับลิเวอร์พูลด้วยลูกยิงสุดสวย เท่านั้นไม่พอ ยังได้อีก 2 แอสซิสต์ในการผ่านบอลให้โชตากับ โดมินิก โซโบสไล ทำประตูได้

 

นั่นเท่ากับ 1 เดือนที่ผ่านมาแบรดลีย์ทำไปแล้ว 1 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ เลยทีเดียว

 

 

อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่รู้จักแบรดลีย์เป็นอย่างดีจะไม่ประหลาดใจกับขีดความสามารถของเด็กคนนี้สักเท่าไรนัก

 

เพราะจุดเด่นของแบรดลีย์ไม่ใช่เรื่องของเกมรับ แต่เป็นเรื่องของการเล่นเกมรุก ขึ้นสุดลงสุด และมีทีเด็ดติดตัวพอสมควร ซึ่งมาจากพื้นฐานที่เคยเล่นในตำแหน่งปีกหรือกองกลางตัวริมเส้นมาก่อน ทำให้เรื่องของจังหวะการเติมเกมหรือจังหวะการเปิดบอลทำได้หลากหลายรูปแบบ

 

อาจจะไม่ได้หวือหวาแฟนตาซีเหมือนอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่ความแม่นยำและประสิทธิภาพยอดเยี่ยม เป็นไปตามมาตรฐานของตัวริมเส้นที่ดีพึงมี

 

เมื่อบวกกับการได้ไปเก็บประสบการณ์กับโบลตัน สโมสรในระดับลีกวัน เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่แม้จะเป็นทีมในระดับรอง แต่การได้ลงสนามจริงก็มีส่วนช่วยนักเตะดาวรุ่งอย่างเขามาก โดยตลอดทั้งฤดูกาล 2022/23 แบรดลีย์ลงเล่นไปกว่า 53 นัดเลยทีเดียว และเป็นคนสำคัญที่มีส่วนช่วยให้โบลตันคว้าแชมป์ปาปาจอห์นโทรฟี่

 

นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของโบลตัน และได้รางวัล Players’ Player และ Player of the Season ของสโมสรด้วย เรียกว่ากวาดครบทุกรางวัล

 

ดิออน ชาร์ลส์ กองหน้าวัย 28 ปีของโบลตัน และเป็นรุ่นพี่ในทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ เชื่อว่าเด็กคนนี้จะมีอนาคตที่สดใส “คอเนอร์เป็นเด็กที่น่าเหลือเชื่อ เขาสามารถไปได้ไกลอย่างที่ใจเขาต้องการเลย

 

“ข้อดีที่สุดคือ เรื่องความคิดความอ่าน เขาเป็นคนที่ต้องการเรียนรู้ ต้องการทำให้ดีขึ้น” ซึ่งชาร์ลส์มั่นใจมาตลอดว่าแบรดลีย์จะสามารถแทรกตัวอยู่ในทีมลิเวอร์พูลได้

 

ที่เหลือคือเรื่องของการท้าชนกับเทรนต์ เจ้าของตำแหน่งเดิม ซึ่งชาร์ลส์เชื่อว่าการที่ได้ฝึกซ้อมร่วมกันจะทำให้แบรดลีย์เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และจะพัฒนาขีดความสามารถในตัวขึ้นมา

 

ขณะที่โค้ชสมัยเด็กๆ ของแบรดลีย์อย่าง ทอมมี มอสส์ จากทีมเซนต์ ดาว็อกส์ บอกว่า เขาเป็นเด็กดีที่ทำตัวเรียบง่าย ซึ่งมาจากการที่คุณแม่ลินดาพร่ำสอนดูแลมาเป็นอย่างดี บ่มเพาะนิสัยให้เป็นคนถ่อมตน ซึ่งแม้จะเริ่มโด่งดัง มีชื่อเสียง และเติบโตในเส้นทางฟุตบอล ก็ไม่ได้ทำให้ตัวตนของเขาเปลี่ยนแปลง

 

 

การแจ้งเกิดของแบรดลีย์ที่เห็นได้ชัดแล้วว่าเด็กคนนี้ดีพอที่จะอยู่กับสโมสรใหญ่อย่างลิเวอร์พูลในอีกหลายปีข้างหน้า นำมาสู่คำถามที่น่าสนใจในอนาคต

 

ระหว่างเขากับเทรนต์ ใครควรจะได้เป็นแบ็กขวาของลิเวอร์พูลมากกว่ากัน?

 

ถ้ามองในเรื่องของประสบการณ์ รองกัปตันวัย 25 ปียังคงเหนือกว่า โดยเฉพาะความสามารถในการเปิดบอลที่เป็นสกิลพิเศษที่ไม่มีใครจะทำแทนได้ในแบบเดียวกัน แต่แบรดลีย์ก็พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องของความสมดุลที่ดีทั้งรุกและรับ อาจจะไม่ได้มีช็อตการเล่นที่พิเศษมหัศจรรย์ แต่ได้ความดุดัน เร้าใจ ทั้งยังมีเทคนิคสูง (ที่เริ่มโชว์ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ)

 

ในวัย 20 ปี แบรดลีย์ไม่ได้เป็นรองเทรนต์ในช่วงอายุเท่ากันเลยด้วยซ้ำ

 

หรือมันถึงเวลาที่คล็อปป์จะต้องดันเทรนต์ไปเล่นแดนกลางอย่างจริงจัง? ไม่ว่าจะในบทกองกลางตัวรับหรือในบทกองกลางตัวเดินเกม หรือจะต้องคิดค้นระบบและวิธีการเล่นใหม่ เพื่อดึงศักยภาพและใช้ประโยชน์จากความสามารถในการเปิดบอลที่เหลือเชื่อของเขาให้มากที่สุด

 

ตรงนี้เป็นโจทย์สนุกๆ สำหรับคล็อปป์ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของเขาที่แอนฟิลด์

 

แต่สำหรับแบรดลีย์ นี่เป็นเดือนแรกที่น่ามหัศจรรย์ในชีวิตการเล่นของเขาเท่านั้น เส้นทางของเด็กคนนี้ยังอีกยาวไกล

 

อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้ผู้คนจดจำและกล่าวขานถึงสายฟ้าสลาตันสีแดงคนนี้กันแล้ว

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising