อีกไม่นาน Coca-Cola อาจสูญเสียยอดขายน้ำอัดลมในตุรกี หลังชาวมุสลิมคว่ำบาตร ต้านแบรนด์เชิงสัญลักษณ์ของสหรัฐฯ ตัวการหนุนอิสราเอลทำสงครามในกาซา ฉุดรายได้ลดลงต่อเนื่อง เปิดทางให้แบรนด์น้ำอัดลม Cola Turka ที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นสร้างรายได้พุ่งขึ้น 10 เท่า
Nikkei Asia รายงานว่า Coca-Cola หรือเรียกสั้นๆ ว่า Coke แบรนด์น้ำอัดลมยักษ์ใหญ่กำลังเผชิญกับความท้าทายในประเทศที่มีประชากรมุสลิมจำนวนมาก ทั้งตุรกีและประเทศอื่นๆ เพราะถูกผู้บริโภคคว่ำบาตรเพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แน่นอนว่ากระทบรายได้ของ Coke อย่างหนัก
ผลพวงของการคว่ำบาตรดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อน้ำอัดลมคู่แข่ง Cola Turka ซึ่งจากเดิมสินค้าผลิตจากบริษัทท้องถิ่นของตุรกี แต่เมื่อปี 2016 บริษัทแม่จากญี่ปุ่น DyDo Group Holdings ซื้อกิจการไป แต่ชาวตุรกียังคงมองว่าเครื่องดื่มนี้เป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ แม้จะเชื่อมโยงกับบริษัทญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ยังเป็นมิตรกับตุรกีและไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านเหมือนกับแบรนด์จากสหรัฐฯ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สงครามยังไม่จบ! KFC-Starbucks ในอินโดนีเซียและมาเลเซียขาดทุนหนัก หลังถูกแบนสินค้ามากว่า 1 ปีเต็ม
- ชาวอินโดนีเซียและมาเลเซียแบนสินค้า Unilever, McDonald’s และ Starbucks เซ่นพิษสงคราม จนซีอีโอหวั่นกระทบยอดขายทั้งปี 2024
- พิษสงคราม! Unilever ถูกผู้บริโภคในอินโดนีเซียแบน กดรายได้ร่วง 15% Starbucks และ KFC ก็ไม่รอด
แม้ปัจจุบัน Cola Turka ยังครองส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมในประเทศตุรกีน้อยกว่า Coca-Cola และ PepsiCo แต่ยอดขายของ Cola Turka ในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2024 เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า ถ้าเทียบจากปีก่อน ซึ่งบางครั้งความต้องการที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้แบรนด์ผลิตสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ
บิลา เจ้าของร้านขายขนมขบเคี้ยวในเมืองอิสตันบูล กล่าวว่า ร้านค้าเริ่มสต็อก Cola Turka แทนผลิตภัณฑ์ Coke มาตั้งแต่ปี 2024 เพราะร้านค้าส่วนใหญ่แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนประเทศที่มีแนวคิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้แบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Cola Turka ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น รวมถึงยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสนใจผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอีกด้วย
สะท้อนให้เห็นว่าพลังและพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่แสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองและความเห็นอกเห็นใจกัน โดยเฉพาะประเทศตุรกีซึ่งเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรหลัก ได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ในสงครามกาซา และรู้สึกไม่พอใจที่อิสราเอลทิ้งระเบิดในกาซา สร้างความเสียหายและคร่าชีวิตพลเรือนจำนวนมาก
เห็นได้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกาซาซึ่งรายงานว่า มีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 45,000 คน เสียชีวิตจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่เริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2023 สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านแบรนด์ระดับโลกที่มีจุดกำเนิดมาจากสหรัฐฯ และประเทศในยุโรป ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวการสนับสนุนอิสราเอล
ทั้งนี้ แบรนด์ที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีแค่ Coke แต่รวมถึง Starbucks และ Nestlé ซึ่งถูกคว่ำบาตรเช่นกัน แม้ Starbucks จะออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่าบริษัทไม่เคยนำผลกำไรมาใช้สนับสนุนกองกำลังทหารเลยก็ไม่ช่วยให้กลับมาทำรายได้เหมือนก่อนช่วงที่ยังไม่มีสงคราม
ภาพ: Capturing Images / Shutterstock
อ้างอิง: