โลกการเงินต้องจารึกวันที่ 14 เมษายน 2021 เป็นอีกหนึ่งหลักกิโลเมตรสำคัญของการเดินทางสู่อนาคต เมื่อบริษัทผู้ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซียักษ์ใหญ่อย่าง Coinbase เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq และมี Market Capitalization วันแรกสูงเกินหนึ่งแสนล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับสถาบันการเงินรายใหญ่ เช่น Goldman Sachs ที่มีอายุกว่า 150 ปีทันที
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์นี้กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้การเกิดขึ้นของบิตคอยน์ในช่วงสิบกว่าปีก่อน นักลงทุนทั่วโลกจึงต้องรู้ให้ทันถึงความหมายของ Wall Street’s New Game และวางกลยุทธ์รับการเปลี่ยนแปลงแห่งอนาคตครั้งนี้ให้พร้อม
ที่เราไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปเฉยๆ เพราะมีหลายอย่างให้ชวนคิดต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจของ Coinbase ขนาดของตลาดการเงินสมัยใหม่ และทิศทางของธุรกิจการเงินในอนาคต
สำหรับใครที่ไม่เคยได้ยิน Coinbase เป็นบริษัทที่พึ่งก่อตั้งในปี 2012 โดย Brian Armstrong และ Fred Ehrsam แต่ปัจจุบันกลายเป็น ‘ตลาดสินทรัพย์’ ที่ Market Capitalization ใหญ่ที่สุด แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Chicago Mercantile Exchange (CME) และ Nasdaq ชี้ให้เห็นถึงอนาคตและโอกาสของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่มหาศาล
ความยิ่งใหญ่ของ Coinbase ไม่ได้มาจากแค่กระแสการเก็งกำไรบิตคอยน์ แต่เกิดจากการที่ Coinbase สามารถเปลี่ยนผู้ใช้กว่า 50 ล้านรายทั่วโลก ไปเป็นปริมาณการซื้อขายกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส จนล่าสุดในรายงานกำไรไตรมาสแรกปี 2021 Coinbase สร้างรายได้จากธุรกิจนี้ได้สูงถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ ถ้าในอนาคตผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลก 3.5 พันล้านราย หันมาใช้ดิจิทัลวอลเล็ตมากขึ้น โอกาสของทั้งอุตสาหกรรมก็มีอีกใหญ่โตอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยธุรกิจที่ชัดเจนบวกกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้บริการทางการเงิน Decentralized Finance (DeFi) จึงกลายเป็น New Game ของสถาบันการเงินทั่วโลกอย่างเต็มตัว ‘ความหมาย’ ของ Coinbase IPO สำหรับผมจึงมีด้วยกันหลายอย่าง
เรื่องแรกคือ โอกาสของ DeFi ที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้มาจากแค่กลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น
โดยมีกลุ่มคนที่ไม่เคยมีบัญชีธนาคาร สถาบันการเงิน ไปจนถึงประเทศที่ระบบการเงินไม่มั่นคงรวมอยู่ด้วย ต่อจากนี้เมื่อ Coinbase เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ก็ชี้เป้าให้กับทั้งอุตสาหกรรมการเงินไปลงทุนกันต่อ
ความหมายต่อมาคือ อุตสาหกรรมการเงินส่วนใหญ่เปิดใจยอมรับว่า DeFi ไม่ใช่เรื่องนอกตลาดอีกต่อไปแล้ว
ต่อจากนี้ ทั้ง Old Wall Street และ New Wall Street ก็จะรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ก้าวต่อไปจึงหนีไม่พ้นที่ผู้ประกอบการดั้งเดิม ทั้งกลุ่มตลาดสินทรัพย์ (Exchange) และกลุ่มสถาบันการเงินจะจริงจังกับธุรกิจนี้ ตามมาด้วยผู้กำหนดนโยบายที่จะเข้ามาดูแลและกำกับตลาด Crypto Assets มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
และที่น่าจับตาต่อเนื่องคือ Coinbase อาจหมายความมากกว่าแค่ชื่อบริษัทในอนาคต
เช่นเดียวกับ Facebook หรือ Google ที่ผู้ใช้มักคิดถึงเป็นอันดับแรกเมื่อคิดถึงการบริการ Crypto Wallet ความหมายที่เปลี่ยนไปนี้ อาจทำให้ผู้ที่จะเข้ามาใหม่ในอุตสาหกรรม Exchange หรือ Electronic Wallet อื่นๆ ต้องคิดมากขึ้น เมื่อมี Coinbase ยึดหัวหาดไปแล้ว
สำหรับนักลงทุนไทย มีหลากหลายคำถามที่ต้องรอคำตอบจากตลาดการเงินไปพร้อมกับทั่วโลก และต้องประเมิน ‘ความเสี่ยง’ ของการลงทุนครั้งนี้ไปพร้อมกับโอกาสเสมอ
คำถามแรกคือ ‘เงินลงทุน’ มาจากไหนกันแน่
เพราะเงินมาได้จาก 3 ทาง และอาจส่งผลกระทบกับตลาดแตกต่างกัน ดีที่สุดคือเป็นเงินใหม่หรือมาจากนอกกลุ่มการเงิน จะทำให้ความผันผวนโดยรวมของธุรกิจลดลงจากสภาพคล่องที่สูงขึ้น ตรงไปตรงมาที่สุดคือมาจากเงินลงทุนในสถาบันการเงินดั้งเดิม ทำให้เราต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการเงินตั้งแต่นี้ต่อไปให้ดีเพราะมีความผันผวนแน่ แต่ที่ต้องระวังที่สุด คือเงินลงทุนมากจากฟินเทคหรือบิตคอยน์ เพราะอาจส่งผลให้ความผันผวนของทั้งระบบปรับตัวสูงขึ้น
คำถามที่สองคือ ‘จังหวะ’ เหมาะจะลงทุนกลุ่มการเงินสมัยใหม่หรือไม่
แม้ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเมื่อไรที่การเงินสมัยใหม่จะกลายมาเป็นปัจจุบัน ในทางกลับกัน บ่อยครั้งที่ความยิ่งใหญ่บนโลกการเงินมักเกิดขึ้นในช่วงที่ความคาดหวังพุ่งขึ้นสูง จึงมักตามมาด้วยการ ‘Sell on Fact’ หรือปรับฐานรับข่าว
สำหรับผม ยิ่งในช่วงนี้ที่ทั้งบิตคอยน์หรือดัชนีต่างๆ กำลังอยู่ในช่วงทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องกัน นักลงทุนต้องคิดให้ดีกับการลงทุน เช่นเดียวกับที่ธุรกรรมการเก็งกำไรพุ่งขึ้นถึงขีดสุดในช่วงล็อกดาวน์ พฤติกรรมของนักเก็งกำไรหลังเปิดเมืองจึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาพร้อมกันไปด้วย
คำถามสุดท้ายคือ ‘ตัวเรา’ เป็นนักลงทุนแบบไหน และรับความเสี่ยงได้เท่าไร
ถ้าเราต้องการเกาะกระแสฟินเทคไปพร้อมกับ Coinbase ก็ต้องเป็นคนที่รับได้กับอนาคตที่การแข่งขันของธุรกิจจะสูงขึ้นอย่างมหาศาล พร้อมกับกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจที่ต้องมากขึ้นหลังจากนี้
หรือถ้ามองว่า Coinbase จะเปิดตลาดให้นักลงทุนเข้ามาใน Crypto Market มากขึ้น และตั้งใจลงทุนในบิตคอยน์ ก็ต้องเป็นคนที่รับความผันผวนได้สูง เพราะยิ่งรายย่อยมากเท่าไร อารมณ์ของตลาดก็จะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าชอบความชัดเจน ไม่ชอบความผันผวน ผมเชื่อว่าการลงทุนในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ปัจจุบันก็ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ เพราะ Coinbase เป็นสัญญาณบังคับว่า Old Wall Street ต้องปรับตัวให้ได้ ถ้าไม่ก้าวไปข้างหน้า อาจหมายถึงการต้องออกจากธุรกิจไปอย่างถาวรในอนาคต
แม้การเข้ามาในตลาดของ Coinbase จะได้ปลุกกระแส Wall Street’s New Game ขึ้นแล้ว แต่ในมุมมองของผม นักลงทุนควรมองเห็นคำตอบคร่าวๆ ของทั้งสามคำถามนี้ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าลงทุนอะไรสักอย่าง เราต้องมีสติอยู่เสมอ ไม่รีบร้อน จำไว้ให้ดีว่า ถ้ากระแสนี้จะกลายเป็นอนาคต ในปัจจุบันก็ต้องไม่มีคำว่าสายเกินไปครับ
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล