×

Classic European Night ย้อนดูรอบชิงฯ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสุดคลาสสิก

27.05.2022
  • LOADING...
Classic European Night

บอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกแล้ว โดยเป็นการพบกันระหว่างลิเวอร์พูล แชมป์ฤดูกาล 2018/19 มาพบกับ เรอัล มาดริด ทีมที่เอาชนะลิเวอร์พูลได้ในรอบชิงเมื่อฤดูกาล 2017/18 และคว้าแชมป์ไปครอง

 

ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น THE STANDARD ขอพาทุกท่านย้อนไปชมรอบชิงฯ สุดคลาสสิกที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของฟุตบอลรายการนี้

 

 

นับเป็นนัดชิงฯ ที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลเจ็บปวดไม่น้อย เมื่อพวกเขาต้องเสียนักเตะอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ให้กับอาการบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นเกม และพ่ายให้กับมาดริดไป 1-3 ในเกมนั้น 

 

ทำให้หลายฝ่ายมองว่านัดชิงชนะเลิศครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ซาลาห์จะลงสนามแก้ตัว พร้อมกับเป็นโอกาสที่ ลอริส คาริอุส อดีตผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลในนัดชิงฯ ครั้งนี้ ได้เห็นอดีตเพื่อร่วมทีมของตนเองล้างแค้นในเกมนัดชิงฯ ปีนี้ได้ 

 


 

 

นับเป็นยุคทองของบาร์เซโลนา ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในฤดูกาลแรกที่เขาพาทีมเข้าชิงแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พบกับช่วงท้ายๆ ในการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

 

เกมนั้นบาร์เซโลนาภายใต้การเล่นแบบ Tiki-taka นำพาทีมไปสู่ชัยชนะเหนือแมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี 

 

ซึ่งแม้ว่า 2 ปีต่อมา แมนฯ ยูไนเต็ดจะผ่านเข้าชิงได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะบาร์เซโลนาของกวาร์ดิโอลาได้ โดยพวกเขาแพ้ไป 1-3 ได้รองแชมป์ในปี 2011 ไปครอง 

 


 

 

นับเป็นหนึ่งในนัดชิงฯ ที่กลายเป็นที่จดจำมากที่สุดสำหรับแฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อพวกเขาอยู่ในเส้นทางสร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์ ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งฝันของพวกเขากำลังจะดับสลายเมื่อถูกบาเยิร์น มิวนิก นำไปก่อน 1-0 จนเหลือเวลาแข่งขันเพียงไม่กี่นาที

 

แต่พวกเขาก็ใช้เวลาเพียง 2 นาที ยิง 2 ประตู จาก เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม และ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ พลิกกลับมาชนะไปได้ 2-1 และคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้สำเร็จ 

 


 

 

ปี 2010 นับเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 2 ของ โชเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น The Special One

 

ในตอนนั้นเขาคุมทีมอินเตอร์ มิลาน ด้วยแท็กติก Counter-attack พร้อมกับฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของ เวสลีย์ ชไนเดอร์ และ ดิเอโก มิลิโต ที่ช่วยให้เอาชนะบาเยิร์น มิวนิก ไปได้ 2-0 

 


 

 

ปี 2005 เป็นค่ำคืนที่ถูกตั้งชื่อว่า Miracle of Istanbul ที่ลิเวอร์พูลตามหลังเอซี มิลาน อยู่ถึง 0-3 ในครึ่งแรก พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะการดวลจุดโทษได้

 

ช่วงพักครึ่ง สตีเวน เจอร์ราร์ด ออกมายอมรับภายหลังว่า “ผมนั่งอยู่พร้อมกับเอามือกุมหัว นึกว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว” แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลก็สร้างคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ และตีเสมอได้เป็น 3-3 ก่อนที่จะเอาชนะการดวลจุดโทษไป 3-2 และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 มาครองได้สำเร็จในปีนั้น 

 


 

 

ปี 2006 นับเป็นครั้งล่าสุดที่อาร์เซนอลผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการนี้ พร้อมกับความหวังเต็มเปี่ยม ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของ เธียร์รี อองรี กองหน้าชาวฝรั่งเศส

 

พอเริ่มเกมมาได้ 18 นาที ทีมจากลอนดอนก็ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน จากใบแดงของผู้รักษาประตู เยนส์ เลห์มันน์

 

แต่เกมไม่จบที่ตรงนั้น เมื่อ โซล แคมป์เบลล์ ทำประตูขึ้นนำให้กับอาร์เซนอลได้ก่อน ในนาทีที่ 37 ส่งสัญญาณบอกไปยังทีมจากกาตาลุญญาว่าพวกเขายังไม่ถอดใจจากนัดชิงฯ ครั้งนี้

 

เกมพลิกไปมาด้วยทักษะและความสามารถที่ยอดเยี่ยมของนักเตะทั้ง 2 ทีม แต่สุดท้ายเป็น เฮนริค ลาร์สสัน ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งหลัง จ่ายให้ ซามูเอล เอโต และ จูเลียโน เบลเลตติ ยิงคนละประตูพาบาร์เซโลนาเอาชนะอาร์เซนอลไป 2-1 คว้าแชมป์ไปครอง

 


 

 

จากการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ของเชลซีที่นำเอา โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ มาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว ทำให้หลายฝ่ายในตอนนั้นเชื่อว่าผลการแข่งขันในนัดชิงกับบาเยิร์นจะออกได้เพียงหน้าเดียว นั่นก็คือฝั่งของทีมจากเยอรมนี

 

ซึ่งก็เป็นบาเยิร์นที่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากลูกยิงของ โธมัส มุลเลอร์ นาทีที่ 83 ก่อนที่จะเป็น ดิดิเยร์ ดร็อกบา ที่ยิงประตูตีเสมอได้ก่อนจบเกมในนาทีที่ 88 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ

 

แต่พอถึงช่วงตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ก็เป็นดร็อกบาที่ยิงประตูสุดท้ายปิดจ๊อบพาทีมเอาชนะการดวลจุดโทษไป 4-3 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครองได้สำเร็จเมื่อปี 2012

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising