หากกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง Devil Wears Prada อีกครั้ง เราจะเห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นมักตั้งมาตรฐานความงามของผู้หญิงไว้อย่างเพ้อฝัน และจะมีแค่ 1% ของผู้หญิงอาจผ่านเกณฑ์ ซึ่งดีไซเนอร์หลายคนก็ทำงานตามมาตรฐานเหล่านี้ในการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ตัวเอง ซึ่งก่อเกิดความกดดันและความไม่มั่นใจในตัวเองสำหรับผู้หญิง และในทางกลับกันก็ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นถูกมองว่าอยู่ในฟองอากาศ และไม่เชิดชูผู้หญิงทุกรูปแบบที่จะมีโอกาสมี Cinderella Moment ของตัวเองในนิตยสาร แคมเปญ หรือบนพรมแดง
แต่กับดีไซเนอร์ คริสเตียน ซิริอาโน (Christian Siriano) เขาไม่ได้เดินตามมาตรฐานเหล่านี้ และเลือกมากระโดดเกาะกระแส Diversity ที่เกิดขึ้นในวงการแฟชั่นปีที่ผ่านมา เพราะพลัง เรื่องราว และสิทธิของผู้หญิง แต่คริสเตียนได้ใช้แบรนด์ตัวเองเพื่อเฉลิมฉลองผู้หญิงทุกไซส์ อายุ สีผิว และอาชีพอย่างชัดเจนมาโดยตลอด จากที่เขาอาจเคยโดนวงการแฟชั่น ‘อี๋’ ใส่ และดูเป็นตัวตลกที่ชนะรายการเรียลิตี้โชว์ แต่มาวันนี้เขาได้ขยับขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการ และตอกย้ำให้เห็นว่าเขาก็มีดีและสมควรมีพื้นที่ในวงการนี้
คริสเตียนเกิดเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนปี 1985 ในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐแมรีแลนด์ ในครอบครัวที่สนับสนุนและผลักดันให้ลูกๆ สนใจด้านศิลปะ คริสเตียนเลยได้เลือกเรียนที่ Baltimore School for the Arts เอกแฟชั่น และได้ไปเรียนปริญญาตรีต่อที่มหาวิทยาลัย American InterContinental University ในลอนดอน ก่อนที่จะได้ไปฝึกงานที่ห้องเสื้อ Alexander McQueen และ Vivienne Westwood
https://www.youtube.com/watch?v=fxJ91Kbn8kc&feature=youtu.be
มาในปี 2007 คริสเตียนก็ตัดสินใจไปออดิชันรายการเรียลิตี้โชว์เฟ้นหาดีไซเนอร์หน้าใหม่ Project Runway ซีซัน 4 ทางช่อง Bravo ซึ่งรายการนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในเชิงเรตติ้งและด้านวิจารณ์ โดยในช่วงเวลาที่คริสเตียนแข่งขันในรายการ เขาก็ได้กวาดแอร์ไทม์และสร้างโมเมนต์ต่างๆ ที่สาวกรายการต้องยังจำได้ ด้วยอารมณ์ขันและภาษาสแลงที่เขาชอบใช้เช่นคำว่า ‘Fierce’ แต่ในขณะเดียวกัน ผลงานดีไซน์ในแต่ละรอบของคริสเตียนก็โดดเด่นไม่แพ้กัน จน วิกตอเรีย เบคแฮม คณะกรรมการรับเชิญรอบสุดท้ายชื่นชมอย่างมาก และคริสเตียนก็ชนะรายการนี้ตามความคาดหมาย
ชื่อเสียงของคริสเตียนหลังชนะรายการ Project Runway ก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและทำให้ตัวเขาเองกลายเป็นแบรนด์ในชั่วข้ามคืน พร้อมไปออกรายการทีวีมากมาย เช่น ซีรีส์ Ugly Betty แต่เพราะชื่อเสียงที่ข้ามไปอยู่ในฝั่งวัฒนธรรมป๊อปและฮอลลีวูด การที่จะเป็นที่ยอมรับของวงการแฟชั่นชั้นสูงกลับไม่ได้เป็นเรื่องง่าย เพราะตามธรรมชาติแล้ววงการแฟชั่นมีความถือตัวระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกับดีไซเนอร์ที่เป็นเซเลบมาก่อนที่อาจดูแมสเกินไป
ในช่วงนั้น ดีไซเนอร์อเมริกันรุ่นไล่เลี่ยกันย่าง Alexander Wang, Jason Wu, Prabal Gurung หรือ Joseph Altuzarra ก็ได้เป็นลูกรักของวงการแฟชั่น เสื้อผ้าของพวกเขาจะได้ถ่ายลงนิตยสารอย่าง Vogue หรือ Harper’s Bazaar อยู่เป็นประจำ แต่สำหรับคริสเตียนเองเขาเหมือนถูกเมินใส่อย่างเห็นได้ชัด เช่นตอนโชว์รันเวย์ที่ New York Fashion Week บรรณาธิการบริหารของนิตยสารหัวท็อปๆ ก็จะส่งแค่บรรณาธิการระดับจูเนียร์อย่างเดียวไปดู และสมาคมสมาพันธ์ดีไซเนอร์แห่งอเมริกา CFDA ยังปฏิเสธให้เขาเป็นสมาชิกในปี 2011 จนในปี 2013 คริสเตียนจึงได้เป็นสมาชิก
คอลเล็กชัน Barbie ที่คริสเตียนดีไซน์
Christian Siriano Fall/Winter 2018
Christian Siriano Fall/Winter 2018
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คริสเตียนถดถอย และอาณาจักรแบรนด์ Christian Siriano ก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีฐานผู้ซื้อที่เหนียวแน่น ประสบความสำเร็จในโซนประเทศตะวันออกกลางที่มีฐานกำลังซื้อสูง และคริสเตียนก็ฉลาดในการจับมือทำสินค้ากับแบรนด์แมสชื่อดัง ที่ช่วยต่อยอดชื่อเสียงของแบรนด์ และทำให้คนทุกระดับชั้นทางการเงินมีโอกาสเป็นเจ้าของไอเท็มที่มีสินค้าชื่อเขา อาทิ ไลน์เครื่องสำอางกับ Victoria’s Secret ไลน์รองเท้า Payless ไลน์เสื้อผ้าช่อง HSN หรือแม้ดีไซน์ลาย Gift Card ของ Starbucks ซึ่งโปรเจกต์เหล่านี้ก็นำเงินเข้ามาในแบรนด์ Christian Siriano ได้อย่างดี
แต่หากต้องเลือกอาวุธลับที่จะช่วยประคองแบรนด์ Christian Siriano มาโดยตลอด และทำให้แซงหน้าแบรนด์ที่เริ่มต้นในวงการช่วงเดียวกันก็ต้องยกให้ ‘ดาราฮอลลีวูด’ ซึ่งเป็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์เบอร์ต้นๆ ของสังคม คริสเตียนเป็นดีไซเนอร์ที่ไม่เคยถือตัวและเปิดโอกาสให้ดารา ศิลปิน และนักแสดง ‘ทุกคน’ มีโอกาสได้ใส่ผลงานที่เขารังสรรค์ ซึ่งได้กลายเป็นคอนเซปต์ ‘น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า’ อย่างแท้จริง ตัวอย่างสำคัญคือแรปเปอร์สาว ‘Cardi B’ ที่คริสเตียนยอมตัดชุดให้ก่อนที่เธอจะดังเป็นพลุแตก ซึ่งพอถึงวันนี้ที่คาร์ดิสามารถขอชุดจากห้องเสื้อจากมิลานหรือปารีสได้อย่างง่ายดาย แต่เธอก็ยังเลือกใส่เสื้อผ้าคริสเตียนสำหรับงานสำคัญๆ เช่นตอนเธอประกาศข่าวการตั้งครรภ์ในรายการ Saturday Night Live ที่กลายเป็นหัวข้อติด Trending บนโลกออนไลน์ทันที
ส่วนอีกหนึ่งดาราสาวตลกผิวสีวัย 50 อย่าง เลสลี โจนส์ ก็ได้สร้างกระแสข่าวหลังเธอทวีตข้อความว่าหลายห้องเสื้อไม่ยอมให้เธอยืมชุดไปใส่บนพรมแดงสำหรับงานเปิดตัวภาพยนตร์ Ghostbusters ที่เธอแสดง ซึ่งพอคริสเตียนได้เห็นข้อความเขาก็รีบตอบกลับและทำชุดเดรสยาวสีแดงแบบเรียบง่ายให้เลสลีใส่ และได้รับคำชื่นชมอย่างมากมาย ซึ่งคริสเตียนบอกว่าเขาไม่ได้อยากจะทำชุดราตรีฟู่ฟ่าแบบดรามาติกที่จะโชว์ความสามารถของเขาเพื่อฉวยโอกาสได้สปอตไลต์ แต่อยากให้ความเรียบง่ายของชุดสะท้อนหุ่นที่สวยงามของเลสลี แม้จะไม่ใช่มาตรฐานของวงการเพราะความสูงและไหล่กว้างของเธอ
Michelle Obama
Cardi B
จากซ้ายไปขวา: Lady Gaga, Leslie Jones และ Danielle Brooks
และการเฉลิมฉลองของผู้หญิงทุกรูปแบบก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่คริสเตียนทำแค่กับการตัดชุดให้ดาราฮอลลีวูดใส่ เช่น Whoopi Goldberg, Christina Hendricks หรือ Michelle Obama ที่ได้ใส่ในงาน Democratic National Convention ปี 2016 และพูดหนึ่งในสปีชที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปของแบรนด์ Christian Siriano ก็มีไซส์เสื้อผ้าตั้งแต่ 0 ถึงไซส์ 26 และคริสเตียนก็ได้กำชับให้เว็บไซต์ลักชัวรีชื่อดัง Moda Operandi ยอมขายสินค้าแบรนด์เขาถึงไซส์ 24 แม้ห้างดังอย่าง Saks หรือ Neiman Marcus จะยอมขายสินค้าเขาแค่ถึงไซส์ 16 ก็ตาม ซึ่งเหตุผลที่คริสเตียนตัดสินใจมีไซส์เสื้อผ้าที่หลากหลายก็เพราะเขาได้เติบโตมาในครอบครัวที่ผู้หญิงต่างมีรูปร่างที่หลากหลาย เช่น พี่สาวของเขาเป็นนักเต้นบัลเลต์ที่ใส่เสื้อผ้าไซส์ 2 แต่คุณแม่ใส่ไซส์ 16
ในปี 2018 คริสเตียนก็เพิ่งได้การรับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของนิตยสาร TIME ที่นับเป็นเกียรติอันสำคัญ โดยมี เวอร์จิล อาเบลาะห์ ดีไซเนอร์แห่ง Off-White เป็นอีกหนึ่งบุคคลจากโลกแฟชั่นที่ได้อยู่ในลิสต์นี้
การที่คริสเตียนได้รับเลือกในครั้งนี้ ชี้ชัดถึงความสำคัญของเขาในอุตสาหกรรมแฟชั่น ที่แม้ว่าจะเหมือนอยู่ในฟองอากาศ แต่เขากลับเลือกทำให้มันแตกและเปิดโอกาสให้ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสวย จะเปรี้ยว จะปัง เหมือนที่โลกแฟชั่นได้พยายามจะสะท้อนตลอด ที่แตกต่างเพียงแค่ ผู้หญิงฉบับ Christian Siriano อาจมีเซลลูไลต์ ตีนกา หรือมาในเฉดสีผิวที่ไม่ตรงกับโฆษณาขายครีม แต่พวกเธอก็ได้สร้างความสง่างามในทางของตัวเอง และเป็นซินเดอเรลลาในเวอร์ชันที่แตกต่างกันออกไป
อ้างอิง: