เป้าหมายอันท้าทายของประเทศไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนให้ได้มากถึง 9 ล้านคนในปีนี้ กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก เมื่อข่าวคราวลักพาตัวนักแสดงหนุ่มชาวจีน กลายเป็น ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวแดนมังกร เมินไทยแลนด์ หันหน้าซบอกญี่ปุ่นและสิงคโปร์แทน
ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมา เที่ยวบินที่ถูกยกเลิกไปยังประเทศไทย ประเทศที่ขนานนามตัวเองว่า ‘ดินแดนแห่งรอยยิ้ม’ พุ่งสูงถึง94 เปอร์เซ็นต์ นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก ตัดสินใจเทใจให้ญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลตรุษจีนแทน และถึงแม้จะเข้าสู่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ยอดการเดินทางมาไทยในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ก็ยังคงต่ำกว่าระดับของปีที่แล้ว
ข่าวการลักพาตัวนักแสดงชาวจีน ‘หวังซิง’ จากประเทศไทยไปยังเมียนมา และการช่วยเหลือในเวลาต่อมา จุดชนวนให้เกิดคลื่นยกเลิกทริปเที่ยวไทยในช่วงตรุษจีนครั้งใหญ่
แม้ประเทศไทยที่พึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก เร่งเครื่องกวาดล้างกลุ่มมิจฉาชีพและแก๊งอาชญากรรม ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการล่อลวงเหยื่อผู้บริสุทธิ์ไปทำงานในศูนย์สแกมออนไลน์ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไร้ผลในการบรรเทาความหวาดกลัวของนักเดินทาง
“ความกังวลเรื่องความปลอดภัย มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนคิดหนักเกี่ยวกับการเดินทางมาประเทศไทย” Eric Zhu นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence กล่าว “การรับรู้ข่าวร้ายรวดเร็วกว่ามาตรการส่งเสริมความปลอดภัยที่รัฐบาลดำเนินการ ซึ่งจะทำให้การฟื้นฟูชื่อเสียงของประเทศ เป็นศึกหนักอย่างแน่นอน”
ในทางตรงกันข้าม ยอดจองเที่ยวบินจากจีนไปยังญี่ปุ่นสูงขึ้นกว่าสองเท่าตัวในไตรมาสแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง และค่าตั๋วเครื่องบินราคาสุดถูกเริ่มต้นเพียง 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 พันบาทจากเซี่ยงไฮ้ไปโตเกียว
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ญี่ปุ่นแซงหน้าประเทศไทย ขึ้นแท่นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงวันหยุดยาว 8 วันของปีนี้ นอกจากนี้ การยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปยังสิงคโปร์และมาเลเซีย ยังเป็นการดูดนักท่องเที่ยวจีน ให้หนีจากไทยไปอีกด้วย
ญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้ถึง 9.8 แสนคน เมื่อเดือนที่แล้วทำลายสถิติและมากกว่าปีที่แล้วถึงสองเท่าตัว ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่นระบุ ในขณะที่ประเทศไทยเปิดเผยว่า มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนประเทศแล้วเกือบ 7.11 แสนคน นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
รัฐบาลไทยดับเครื่องชนตัดไฟผู้ประกอบการธุรกิจผิดกฎหมายในเมียนมา พร้อมผนึกกำลังกับเพื่อนบ้าน กวาดล้างศูนย์สแกมออนไลน์ ซึ่งล่าสุด มีการช่วยเหลือแรงงานต่างชาติกว่า 1,000 คน รวมถึงชาวจีนหลายร้อยคน ออกมาได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามคำถามยังคงอยู่ว่า มาตรการกวาดล้างเหล่านี้ จะช่วย ‘กอบกู้’ ศรัทธา และดึงนักท่องเที่ยวจีน แหล่งรายได้หลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย กลับคืนมาได้หรือไม่ การท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และหนึ่งในห้าของการจ้างงานทั้งหมด คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.86 ล้านล้านบาทในปีนี้
Eric Zhu เขียนในบทวิเคราะห์ว่า เป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนที่ระดับสูงสุด และจะต้องเหนื่อยอย่างหนัก หากต้องการที่จะแซงเป้าหมายระดับล่างที่ 8.8 ล้านคน หากประเทศไทยไม่สามารถจัดการกับความกังวลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างรวดเร็วภายในสิ้นไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่าความกังวลของนักท่องเที่ยว กำลังลดลงแต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าสถานการณ์จะพลิกกลับมาเป็นบวก ในขณะที่ยอดจองจากจีนมาไทยสำหรับเดือนมีนาคม ยังคงลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ความต้องการเที่ยวบินสำหรับเดือนเมษายนและพฤษภาคม กลับแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ มากกว่า 3% ข้อมูลจากบริษัทการตลาด China Trading Desk ผู้ติดตามตลาดการเดินทางของจีนแผ่นดินใหญ่ระบุ
“ความกลัวเกี่ยวกับการเดินทางมาประเทศไทยลดน้อยลงแล้ว” Subramania Bhatt ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ China Trading Desk กล่าว “ถึงกระนั้น ประเทศไทยก็ยังห่างไกลจากระดับในปี 2019 ในขณะที่ทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ มีการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่แข็งแกร่งมาก”
นอกเหนือจากการปราบปรามธุรกิจสแกมแล้ว รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ยังต้องทำมากกว่านี้เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวให้หลากหลายนอกเหนือจากจุดหมายปลายทางยอดนิยม เช่น กรุงเทพมหานคร ชายหาดภูเก็ต และป่าเขาเชียงใหม่ Thienprasit Chaiyapatranun นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าว
“แม้แต่คนไทยเองก็ยังชอบไปญี่ปุ่นมากกว่าไปภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ” เขากล่าว “เราสูญเสียนักเดินทางคุณภาพดีที่นิยมความคุ้มค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เราต้องทำมากขึ้นนำเสนอจุดหมายปลายทางที่หลากหลายกว่าเดิม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว”
อ้างอิง: