สอท. หวั่นสินค้าจีนทะลักไทย กดราคา 20-40% ลดขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs ไทยรุนแรงถึงขั้นปิดกิจการ จี้รัฐเข้มงวดกฎหมาย สกัดนำเข้า ทบทวนเงื่อนไขการใช้เขตปลอดอากร (Free Zone) และออกมาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าเข้ามาสวมสิทธิ์ส่งออก
วันที่ 16 เมษายน หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 ในเดือนมีนาคม 2568 หัวข้อ “มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อการปรับกลยุทธ์รับมือสินค้านำเข้าจากจีน” พบว่า จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประกอบกับปัญหาการระบายอุปทานที่ผลิตเกินความต้องการในจีน (Oversupply) เป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการทะลัก (Flooding) ของสินค้าจีนมายังภูมิภาคต่างๆ รวมถึงไทยและอาเซียน
“ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่าการไหลทะลักเข้าของสินค้าจีนสร้างผลกระทบ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยลดลงโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค รวมถึงยังกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากในภาพรวมราคาสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ประมาณ 20-40%”
โดยเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีการผลิตของจีน สินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาดทำให้ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน จนอาจทำให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ชวนวิเคราะห์ เหตุใดสินค้าจีนทะลัก ส่งออกเริ่มหมดแรง แบกเศรษฐกิจไทยไม่ไหว
- โรงงานทยอยปิดตัวไปทีละราย คนไทยตกงานแล้วกว่า 40,000 คน
ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย มีปรับขั้นตอนการพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุนฯ (Countervailing Duty: CVD) ให้มีประสิทธิภาพและทันกับสถานการณ์ รวมทั้งพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนปริมาณสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงผิดปกติ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เร่งสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าไทย อาทิ การเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาบริการหลังการขาย ยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีนได้
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 540 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
- สินค้าที่ผลิตในประเทศได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดหรือไม่
อันดับ 1: ได้รับผลกระทบ 70.9%
อันดับ 2: ไม่ได้รับผลกระทบ 29.1%
- จุดแข็งของสินค้าจีนที่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดประเทศไทยได้
อันดับ 1: ราคาสินค้าที่ต่ำกว่าจากความได้เปรียบด้านต้นทุน และเทคโนโลยีการผลิต 90.7%
อันดับ 2: มีความหลากหลายของสินค้า การผลิตแบบ OEM/ODM ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ผู้บริโภค 38.5%
อันดับ 3: สินค้ามีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง 25.0%
อันดับ 4: สินค้ามีการปรับปรุงคุณภาพให้ดีมากขึ้นและมีมาตรฐาน 12.6%
- ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อปัญหาสินค้านำเข้าจากจีนและผลกระทบจากสงครามการค้าในเรื่องใด
อันดับ 1: สินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาดส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs 72.2%
อันดับ 2: การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งผ่านด่านศุลกากรและแพลตฟอร์มออนไลน์ 52.4%
อันดับ 3: การนำเข้าสินค้ามาสวมสิทธิ์ในการส่งออก หรือใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพียงส่วนน้อย 27.8%
อันดับ 4: การขาดดุลการค้าและดุลการค้าที่ไม่สมดุล ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ 23.0%
- สินค้านำเข้าจากจีนมีส่วนต่างราคาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับสินค้าไทย
อันดับ 1: ราคาต่ำกว่า 20-40% = 45.0%
อันดับ 2: ราคาต่ำกว่า 1 -20% = 21.1%
อันดับ 3: ราคาต่ำกว่า 40% ขึ้นไป = 19.5%
อันดับ 4: ไม่มีสินค้านำเข้าจากจีนในตลาด 11.1%
อันดับ 5: ราคาไม่แตกต่าง หรือสินค้าไทยราคาต่ำกว่า 3.3%
- ภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้านำเข้าจากจีน โดย เพิ่มความเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และปรับขั้นตอนการพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนฯ ให้มีประสิทธิภาพและทันกับสถานการณ์รวมทั้งพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนปริมาณสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงผิดปกติ
ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้เขตปลอดอากร (Free Zone) และออกมาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าเข้ามาสวมสิทธิ์ส่งออก ส่งเสริมให้เกิดกระแสนิยมการบริโภคสินค้าไทย และสนับสนุนมาตรการทางภาษีสำหรับเอกชนที่ซื้อสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT)
- ภาคอุตสาหกรรมมีกลยุทธ์แนวทางการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้าจีน ด้วยการสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าโดยการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยกระดับบริการหลังการขาย 54.6%
ภาพ: Bet_Noire / Getty Images