นี่คือภาพรวมงบประมาณด้านการทหารที่จีนทุ่มให้กับการพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2012 ปีที่ สีจิ้นผิง ก้าวขึ้นสู่อำนาจในฐานะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่ในช่วงเวลานั้น
ปี 2012 ถือว่าเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกยังคงได้รับผลพวงจากวิกฤตการเงินโลกในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น รวมถึงผลกระทบจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป หรือวิกฤตยูโรโซน โดยสีจิ้นผิงก้าวขึ้นมากุมบังเหียนประเทศจีน ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลง หลังจากที่เศรษฐกิจจีนเคยพุ่งทะยานขึ้นสูงสุดในช่วงการปกครองของผู้นำรุ่นที่ 4 อย่างหูจิ่นเทา ผู้นำคนก่อนหน้านี้ และจากข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า อัตราการเติบโตของ GDP จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีหูจิ่นเทาเคยพุ่งสูงกว่า 14% ในปี 2007 ส่งผลให้จีนก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา
แต่ถึงกระนั้น แม้เศรษฐกิจจีนจะอยู่ในช่วงขาลงเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนหน้า แต่งบการทหารภายใต้การนำของสีจิ้นผิงก็ยังคงปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปีอื่นๆ ในทศวรรษก่อนหน้าในปี 2014 ที่ประชาคมโลกได้รับแรงกระเพื่อมจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่นำไปสู่การผนวกรวมแหลมไครเมียในปีเดียวกันนั้น ทางการจีนก็ยังคงทุ่มงบให้กับกองทัพ เสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง 3 ปีล่าสุด (2019-2021) ที่ประชาคมโลกเผชิญหน้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่แพร่กระจายไปทั่วโลก จนเป็นเหตุให้องค์การอนามัยโลกจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (PHEIC) นำไปสู่การจำกัดการเดินทาง ปิดกั้นพรมแดน เศรษฐกิจและการลงทุนในภาคต่างๆ หยุดชะงัก หรือแม้แต่ในช่วงที่จำต้องฟื้นฟูประเทศภายหลังโควิด จีนก็ยังคงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกองทัพจีนมาเป็นอันดับต้นๆ เสมอมา และคาดว่าจะได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยครึ่งทศวรรษ หากสีจิ้นผิงได้รับการรับรองเป็นผู้นำสมัยที่ 3 ของจีน
ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
อ้างอิง:
