จีนกำลังถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัว และความเสี่ยงซวนเซสู่ทิศทางขาลง ด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์บางคนจึงมองว่า จีนในเวลานี้อาจมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการทางการคลัง และการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจต้องปรับเปลี่ยนจุดยืนจากที่เคยแข็งกร้าวต่อประเด็นการค้า มาเป็นท่าทีที่รอมชอมมากขึ้น เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
ดังนั้นจึงทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะทำข้อตกลงเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกันในเดือนตุลาคมนี้
แต่จะลงเอยแบบ Happy Ending ได้เร็วเช่นนั้นหรือ? และจีนจำเป็นต้องเร่งเจรจาเพื่อคลายแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านั้นจริงหรือไม่
แรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
จีนเพิ่งเผยตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 กันยายน) ซึ่งปรากฏว่าขยายตัวเพียง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์จากโพลสำรวจของรอยเตอร์ส ที่ระดับ 5.2%
ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นอัตราการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 17 ปี แย่กว่าเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัว 4.8% เสียอีก ขณะที่ดัชนีดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน
ที่ว่าสำคัญนั้นเป็นเพราะดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดผลิตผลจากภาคอุตสาหกรรมหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค
นอกจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอแล้ว ยังมีสัญญาณไม่สู้ดีจากตัวเลขค้าปลีกของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนที่ชะลอตัวเหลือ 7.5% ในเดือนสิงหาคม ต่ำลงจากระดับ 7.6% ในเดือนกรกฎาคม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สงครามการค้าที่ดำเนินมานานนับปีเป็นปัจจัยลบที่ฉุดเศรษฐกิจจีนให้ขยายตัวช้าลง ดังนั้นหากจีนต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือการแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา ซึ่งก็คือการยุติข้อพิพาทกับสหรัฐฯ เพราะลำพังการอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้ปัญหาหนี้สาธารณะพอกพูนยิ่งขึ้น ในเมื่อภาครัฐพยายามลดการพึ่งพาเครื่องมือการก่อหนี้
อย่างไรก็ตาม ชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) ให้ความเห็นว่า ถึงแม้จีนจะถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจให้ต้องเร่งเจรจากับสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯ อาจมีความกดดันมากกว่าจีน
คลังเครื่องมือของจีน
สำหรับจีนแล้ว ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้าอาจโตชะลอตัวลงจาก 6.1-6.2% เหลือ 6.0% ในปีหน้า ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวช้าลงเหลือ 1.7% จากระดับ 2.0% ซึ่งจะเห็นว่าลดลงในอัตราที่พอๆ กัน แต่แนวโน้มเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ 2.5% ขณะที่สหรัฐฯ เข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งสูงกว่า GDP เสียอีก
สงครามการค้าทำให้เห็นภาพว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งคู่ ดังนั้นแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจจึงไม่ใช่แค่สะเทือนจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ด้วย
ในมุมมองของชาตรีนั้น จีนมีความจำเป็นต้องเร่งเจรจาการค้าน้อยกว่าสหรัฐฯ เมื่อมองในแง่ของความกังวลต่อเศรษฐกิจ เพราะจีนเชื่อว่าพวกเขาไม่มีปัญหาด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากถึง 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจีนสามารถนำเงินส่วนนี้ไปสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากจีนยอมจัดทำงบประมาณขาดดุล โดยกู้เงินและลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนสกุลเงินหยวนที่อ่อนค่าแตะ 7.05 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ ก็ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับจีนมาก เพราะค่าเงินอ่อนจะช่วยให้การส่งออกดีขึ้น คนจีนที่เคยไปเที่ยวต่างประเทศก็จะกลับมาใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการบริโภคภายใน โดยที่ผ่านมาจีนพยายามลดการพึ่งพาการส่งออก และหันมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจแทน
แต่กระนั้น มาร์ติน ลินจ์ นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics มองว่า การปล่อยค่าเงินหยวนให้อ่อนลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ไม่อาจช่วยชดเชยความเสียหายที่เกิดจากกำแพงภาษีของทรัมป์ และภาวะดีมานด์ชะลอตัวทั่วโลกได้ ซึ่งรัฐบาลจีนอาจเดินหน้าใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปอีกหลายเดือนหลังจากนี้
ต่อข้อวิตกเกี่ยวกับศักยภาพในการเติบโตของจีนนั้น นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงของจีน เคยกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า จีนยังมีเครื่องมือที่มากเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าเวลานี้เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันในทิศทางขาลง และความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่กำลังขยายตัวก็ตาม
หลี่ย้ำด้วยว่า เศรษฐกิจจีนมีความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งมีศักยภาพและช่องทางเพียงพอในการให้จีนขยับตัว
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) มีการขยับหลายครั้ง ทั้งการลดอัตราส่วนการสำรองเงินขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ (Required Reserve Ratio หรือ RRR) เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน รวมถึงปฏิรูปกลไกกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงประเภท Loan Prime Rate เพื่อส่งเสริมการจ้างงานและกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องดอกเบี้ยนโยบายนั้น ชาตรีมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของจีนอยู่ที่ 4.35% ซึ่งธนาคารกลางจีนยังสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดดอกเบี้ยได้อีกมาก ต่างจากสหรัฐฯ ที่ดอกเบี้ยต่ำแตะระดับเกือบๆ 2.0% ซึ่งทำให้เหลือทางเลือกไม่มาก
มุมมองของชาตรี สอดคล้องกับ ถิงลู่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งบริษัทลงทุนโนมูระ (Nomura) ในญี่ปุ่น ที่ให้ทัศนะกับ CNN ว่า แบงก์ชาติจีนอาจพิจารณาลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดว่าอาจผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น
ดังนั้นชาตรีจึงมองว่า จีนอาจยังไม่เดือดร้อนมาก หากการเจรจากับสหรัฐฯ ยังไม่ลุล่วง แต่คนที่เดือดร้อนมากกว่าน่าจะเป็นสหรัฐฯ
เมื่อวันอังคาร (17 กันยายน) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แย้มว่า สหรัฐฯ กับจีนมีโอกาสทำข้อตกลงการค้ากันได้ในเร็วๆ นี้ ขณะที่สองฝ่ายเตรียมเจรจาระดับรัฐมนตรีที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ช่วงต้นเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตาม ชาตรีมองว่า ถึงแม้การเจรจารอบนี้อาจมีความคืบหน้าที่สำคัญตามที่ฝ่ายจีนคาดหวัง แต่คิดว่าสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามการค้ากันได้ในปีนี้
สำหรับทรัมป์แล้ว เขายังไม่สามารถประกาศได้เต็มปากว่าสหรัฐฯ เป็นฝ่ายชนะในสงครามการค้า ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้ากำลังใกล้เข้ามา ซึ่งทรัมป์อาจต้องแข่งขันชิงเก้าอี้กับเบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ดังนั้นเขาจึงคาดหวังให้การเจรจากับจีนมีความคืบหน้าเพื่อใช้เป็นผลงานในการหาเสียง
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ ทรัมป์ขู่จีนว่า หากไม่รีบทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก่อนถึงวันเลือกตั้ง เงื่อนไขในข้อตกลงฉบับใหม่อาจเลวร้ายสำหรับจีนมากกว่าข้อตกลงในตอนนี้เสียอีก
คำเตือนดังกล่าวเป็นการกดดันจีนให้เร่งเจรจา แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความกระตือรือร้นและแรงกดดันที่สหรัฐฯ ต้องการทำข้อตกลงให้ลุล่วงโดยเร็ว ถึงแม้ทรัมป์เชื่อว่าเขาจะชนะการเลือกตั้ง และได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปี 2020 ก็ตาม
แม้ทรัมป์อ้างว่า ลึกๆ แล้วรัฐบาลจีนเชื่อว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งในปีหน้า แต่จีนก็ยังต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะหากเลือกได้ จีนอาจต้องการทำข้อตกลงกับประธานาธิบดีคนอื่นมากกว่าทรัมป์ ดังนั้นเราอาจเห็นภาพที่ชัดขึ้นตั้งแต่การเลือกตั้งระดับไพรมารีของแต่ละพรรคว่า ทรัมป์จะยังได้เป็นตัวแทนของรีพับลิกันหรือไม่
ชาตรีมองว่า หากทรัมป์แพ้การเลือกตั้งไพรมารี หรือชนะเฉียดฉิวด้วยคะแนนเสียงปริ่มน้ำ ก็อาจทำให้จีนยังไม่เร่งเจรจา และรอไปจนกระทั่งทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็ได้ ถึงแม้ทรัมป์จะเตือนไว้ก่อนว่า การทำข้อตกลงหลังวันที่ 3 พฤศจิกายนจะแตกต่างออกไป หากทรัมป์ชนะ
แต่ในทางกลับกัน หากทรัมป์ได้รับชัยชนะแบบถล่มทลายในการเลือกตั้งชิงชัยตัวแทนพรรครีพับลิกัน ก็อาจทำให้จีนยอมถอย และประนีประนอมมากขึ้น เพราะหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี ย่อมส่งผลเสียต่อจีน หากยังไม่มีการทำข้อตกลงเพื่อเป็นหลักประกัน
ด้วยเหตุนี้การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนจึงต้องรอดูกันยาวๆ ถึงแม้จีนถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจในระยะหลัง แต่เมื่อมองถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องกระตือรือร้นมากกว่าแล้ว อาจทำให้จีนรอดูสถานการณ์เพื่อความชัดเจนไปก่อน
เพราะพวกเขายังมีทางเลือกอีกมากในการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้หลุดกรอบทิศทางที่กำหนดไว้
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- edition.cnn.com/2019/09/16/economy/china-economy-industrial-production/index.html
- www.cnbc.com/2019/09/17/china-says-vice-ministerial-officials-will-be-in-washington-for-trade-talks-on-wednesday.html
- www.reuters.com/article/us-usa-trade-china-trump/trump-says-china-trade-deal-could-come-before-us-election-or-not-idUSKBN1W22AA
- markets.businessinsider.com/news/stocks/trump-us-china-trade-war-deal-could-take-until-2020-2019-9-1028531843