ในขณะที่เศรษฐกิจจีนซวนเซภายใต้แรงกดดันมากมาย เยาวชนของประเทศต้องแบกรับผลกระทบจากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจนี้ ปัจจุบันคนหนุ่มสาวกว่า 1 ใน 5 ของจีนไม่มีงานทำ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลนำโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เชื่อว่า ปัญหานี้อยู่ที่ความคาดหวังที่สูงของผู้หางานรุ่นใหม่มากกว่าปัญหาเชิงระบบ
สีจิ้นผิง ชายผู้ทำงานฝ่าฟันความยากลำบากจากการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน เชื่อว่า ทางออกอยู่ที่การยอมรับความท้าทายเหล่านี้ วิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่อเยาวชนที่ว่างงานคือการหางานทำในทุกที่ที่ทำได้ เช่น ในโรงงานหรือในโครงการบรรเทาความยากจนในชนบทของจีน
น่าเสียดายที่คำแนะนำของรัฐบาลนี้ไม่โดนใจคนหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมาก บุคคลเหล่านี้ซึ่งเติบโตมาในช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองเฟื่องฟูได้รับคำมั่นสัญญาว่า จะเป็นประเทศจีนที่มีอำนาจพร้อมโอกาสอันไร้ขอบเขต
ทว่าความฝันนี้สวนทางกับความเป็นจริง อัตราการว่างงานของเยาวชนในเขตเมืองพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 21.3% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของคำสัญญาเหล่านี้ และเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของสีที่มีต่อแดนมังกรในฐานะมหาอำนาจระดับโลก
ความผิดหวังในการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นจากประชากรวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยจำนวน 11.6 ล้านคนในปี 2023 ที่ได้รับคำแนะนำให้เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาด้วยหวังว่าจะได้งานที่ดี แต่กลับพบงานที่ใช้แรง ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่อยากทำ
ปัญหาเศรษฐกิจของจีนไม่ได้เกิดจากการขาดงาน แม้ว่าจำนวนประชากรจะลดลง แต่ประเทศก็ยังมีความต้องการแรงงาน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ซบเซาของจีนไม่ได้สร้างงานที่มีทักษะสูงและค่าจ้างสูงเพียงพอ ที่จะตอบสนองความคาดหวังของผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยที่ล้นตลาดงาน ปัญหานี้ถูกผนวกรวมเข้ากับการปราบปรามด้านเทคโนโลยีและบริษัทอื่นๆ ในภาคเอกชนของสีเมื่อเร็วๆ นี้
เมื่อเผชิญกับความจริงนี้ คนหนุ่มสาวจำนวนมากเลือกที่จะออกจากตลาดงานโดยสิ้นเชิง จนเกิดปรากฏการณ์ Lying Flat ที่คนหนุ่มสาวใช้ชีวิตไปวันๆ ทำงานแบบสบายๆ ขณะที่พวกเขาเร่ร่อนไปทั่วประเทศ
ในขณะเดียวกันผู้ที่ยังคงหางานทำกลับไม่แยแสกับการทำงานในภาคเอกชน คนหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมากขึ้นกำลังสอบเข้ารับราชการในประเทศ เพื่อโอกาสในการทำงานในระบบราชการของจีนที่มีค่าตอบแทนต่ำแต่มั่นคง
อัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการสำหรับคนหนุ่มสาวในจีนอาจสูงกว่าที่รายงานไว้ด้วยซ้ำ จางตันตัน นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แนะนำว่า อัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ที่แท้จริงในเดือนมีนาคมอาจสูงถึง 46.5% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่เป็นทางการมากกว่า 2 เท่า
ผลกระทบจากวิกฤตการณ์การว่างงานครั้งนี้อาจมีนัยสำคัญในระยะยาว มีความเสี่ยงที่ผู้ว่างงานหลายล้านคนเหล่านี้จะสูญเสียแรงผลักดันที่จีนต้องการ เพื่อเป้าหมายในการฟื้นฟูประเทศ นอกจากนี้ความไม่มั่นคงทางสังคมที่เกิดขึ้นอาจเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อพรรคคอมมิวนิสต์
ประเด็นนี้ขยายออกไปนอกเหนือแค่การจ้างงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อปัญหาด้านประชากรศาสตร์ของจีนอีกด้วย ความไม่แน่นอนของการว่างงานทำให้ชาวจีนจำนวนมากชะลอเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การแต่งงานและการเริ่มต้นครอบครัว
นักวิชาการเตือนเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของชนชั้น ‘New Poor’ หรือคนรุ่นใหม่ที่ยากจนในประเทศจีน อันมาจากคนหนุ่มสาวที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่เพื่อความอยู่รอด ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางสังคมต่อไป
เศรษฐกิจของจีนซึ่งหยุดชะงักจากการกู้ยืมจำนวนมากและการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ พยายามที่จะฟื้นโมเมนตัมหลังการระบาดใหญ่ เศรษฐกิจมีการเติบโตช้าๆ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.8% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับ 3 เดือนแรกของปี บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับการชำระหนี้มากกว่าการลงทุนในโครงการที่สามารถสร้างงานใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม กระแสการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษายังคงแข็งแกร่ง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยมากกว่า 28 ล้านคนได้เข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของอุปทานแรงงานใหม่ในเมือง
สำหรับผู้ที่ได้งานที่มีความมั่นคง สภาพการทำงานนั้นโหดร้ายมาก เพราะบริษัทเทคโนโลยีของจีนขึ้นชื่อเรื่องการผลักดันให้พนักงานทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งแทบจะไม่ได้หยุดพักเลย
รัฐบาลจีนรับทราบปัญหาการว่างงานของเยาวชน ได้เปิดตัวโครงการต่างๆ เช่น เงินอุดหนุนสำหรับบริษัทที่จ้างผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ และเงินกู้พิเศษเพื่อช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาเริ่มต้นบริษัท อย่างไรก็ตาม ความคิดริเริ่มเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงจุดอ่อนหลักทางเศรษฐกิจที่ทำให้หลายบริษัทไม่สามารถจ้างคนเพิ่มได้
นอกจากนี้คำขวัญของรัฐบาลที่ว่า ‘หางานก่อน ค่อยหาอาชีพ’ ดูจะขัดแย้งกับแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ ที่แสวงหาชีวิตการทำงานที่สะดวกสบายมากกว่ารุ่นก่อนๆ
ภาพ: Kevin Frayer / Getty Images
อ้างอิง: