×

ตลาดหุ้นโลกกับการเปลี่ยนผ่านของตลาดหุ้นจีนจาก Sentiment Driven สู่การปรับตัวขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานหรือ Fundamental Driven

12.11.2025
  • LOADING...
ตลาดหุ้นโลกกับการเปลี่ยนผ่านของ ตลาดหุ้นจีนจาก Sentiment Driven สู่ การปรับตัวขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน หรือ Fundamental Driven

Chapter I : ปีทองของการลงทุนในหุ้นทั่วโลกกำลังจะจบลง?

 

นับตั้งแต่ ปี 2024-2025 ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น ทั้งตลาดหุ้นกลุ่มพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐฯ ยุโรป จนถึงเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งหลายตลาดทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนหลักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจากธนาคารกลางหลายประเทศ 2. การใช้จ่ายภาครัฐของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และ 3.กระแสการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) หลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯและจีนที่ต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด และทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีแห่งศตวรรษ คำถามที่สำคัญของนักลงทุนในวันนี้คือปีทองของการลงทุนหรือขาขึ้นของตลาดหุ้นโดยรวมกำลังจะจบแล้วหรือยัง ? เป็นคำถามที่ยังไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างชัดเจน

 

Chapter II: ความผันผวนของตลาดหุ้นระหว่างปี 2025 กับปัจจัยลบที่เป็นสาเหตุอย่างสงครามการค้ามีโอกาสที่จะดำเนินต่อในปี 2026

 

ขาขึ้นของตลาดหุ้นโลกตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ.. สำหรับปี 2025 มีเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างเริ่มจากการท้าทายด้านเทคโนโลยี AI ของจีนต่อชาติตะวันตก (China AI Boom) ต่อด้วยการประกาศนโยบายภาษีตอบโต้หรือ Reciprocal Tariffs นับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2025 โดยสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน ซึ่งนำไปสู่การขึ้นภาษีระหว่างกันถึง 145% และ 125% กดดันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะผ่อนคลายท่าทีและกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาในช่วงครึ่งหลังของปี

 

Chapter III: จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจโลกและตลาดการลงทุน, การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ- จีน

 

ในวันที่ 30 ต.ค. 2025 ที่ผ่านมา การพบกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค (APEC Summit) ณ ฐานทัพอากาศเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ได้ผลลัพธ์ที่ดีนำไปสู่การผ่อนคลายเชิงนโยบายหลายประการโดยทั้งสองประเทศเห็นชอบต่อการขยายเวลาชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อีกหนึ่งปี รวมถึงลดการจำกัดแร่กลุ่ม Rare Earth ต่างๆ โดยข้อตกลงครั้งนี้จึงไม่เพียงช่วยคลายความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

 

Chapter IV: เมื่อมองไปข้างหน้า..ตลาดหุ้นจีนกำลังจะเปลี่ยนจาก Phase ของ Sentiment Driven สู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกด้วยปัจจัยพื้นฐานหรือ Fundamental Driven

 

นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 จนถึงปัจจุบัน นอกจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ หนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจคือตลาดหุ้นจีน ซึ่งปัจจุบันการปรับตัวขึ้นของราคาได้ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อการพัฒนาด้าน AI และการผ่อนคลายของสงครามการค้าหลังการเจรจาระหว่างสองผู้นำได้ผลลัพธ์ที่ดี อย่างไรก็ตามหากมองไปข้างหน้า การปรับตัวขึ้นต่อของตลาดหุ้นจีนต้องอิงกับปัจจัยพื้นฐานโดยเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและจะนำมาสู่การปรับกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในหุ้นจีนดังนี้

 

1. ผลการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งกำหนดยุทธศาสตร์ชาติในกรอบเวลา 5 ปี (2026 – 2030) ยังสนับสนุนกลุ่มเทคโนโลยี-AI อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเริ่มให้ความสำคัญและสนับสนุนกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศรวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

2. สัญญาณสลับกลุ่มลงทุน จาก Growth สู่ Quality Laggard

 

นับตั้งแต่การประชุม 4th Plenum เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2025 ตลาดหุ้นจีนเริ่มสะท้อนความแตกต่างของผลตอบแทนในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่มีปัจจัยหนุน (Catalyst) จะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น เช่น กลุ่มวัสดุ (Materials) และพลังงาน (Energy) ได้แรงสนับสนุนจากความคาดหวังว่ามาตรการ Anti-Involution จะทำให้อุตสาหกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในไม่ช้า จากมาตรการ Anti-Involution เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคาร (Bank) และอุตสาหกรรม (Industrial) ที่กำลังทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3Q25 และออกมาเติบโตหรือดีกว่าคาด ให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน

 

ปัจจัยบวกสำคัญหนุนตลาดหุ้นจีนปี 2026

 

  • นโยบายสนับสนุนการบริโภคในประเทศและภาคอสังหาริมทรัพย์จีน: รัฐบาลจีนพร้อมสนับสนุนสินค้าและบริการในเมืองชั้นรอง (Tier 2 และ New First-tier Cities) ดังนั้นอุตสาหกรรม Consumer Staple, Consumer Discretionary และกลุ่ม Property จะได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์จีนยังคงสานต่อนโยบายกระตุ้นการลงทุนและสนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มที่มีความต้องการเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand)

 

  • จีนมุ่งรักษาสมดุลของรายได้ภาคเอกชนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ: ปัจจุบันจีนเผชิญกับความท้าทายจากภาวะการแข่งขันภายในประเทศที่รุนแรง ดังนั้นบริษัทที่พึ่งพารายได้จากในประเทศอย่างเดียวอาจเผชิญแรงกดดันจากความสามารถในการทำอัตรากำไร (Margin) ทำให้การขยายตลาดต่างประเทศกลายเป็นช่องทางการเติบโตสำคัญ โดยข้อมูลจาก MSCI: Tracking the Internationalization of Chinese Companies (As of 3 June 2024) พบว่าหุ้นจีนที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศสูง สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเป็น Bull Market หุ้นจีน 50 บริษัทแรกที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศมากที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี MSCI China ถึง 16% โดยปัจจุบันกลุ่ม Technology, Energy, Industrial และ Consumer Discretionary มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ

 

  • แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจีนในอนาคตมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในการเติบโตของกำไรเริ่มขยับมาในระดับ Double Digit: ในภาวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกหลายแห่งทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์และมูลค่าพื้นฐานอิงการประเมินมูลค่าด้วยวิธี P/E ที่ไม่ได้ถูกเทียบเท่าเมื่อก่อน นักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับ ผลประกอบการจริงมากกว่าความคาดหวังเพียงอย่างเดียว โดยข้อมูลจาก Goldman Sachs “China Weekly Kickstart” (As of 31 Oct 2025) เผยว่า 77% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนรายงานผลประกอบการแล้ว กำไรไตรมาส 3Q25 เติบโต 11%YoY โดยอุตสาหกรรมที่มีกำไรเติบโตมากที่สุด ได้แก่ Materials, Information Technology และ Financials ขณะเดียวกันกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรมากที่สุดใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ Materials, Financials, Energy และ Information Technology สะท้อนว่ากลุ่มเหล่านี้กำลังมี แรงหนุนจากพื้นฐานจริง

 

3. การประยุกต์ใช้ AI (AI Adoption) ยังเป็น Tailwind ที่สำคัญต่อกลุ่มเทคโนโลยีจีน: AI

 

กำลังกลายเป็นตัวเร่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ทั้งในด้านการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิผล และสร้างรายได้รูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่นธุรกิจ Social Media ที่ใช้ AI เพื่อเสนอคอนเทนต์ให้ตรงตามความชื่นชอบเฉพาะบุคคลมากขึ้น ด้านธุรกิจ E-Commerce ที่ใช้ AI แนะนำสินค้าที่ตรงความต้องการของผู้บริโภค ขณะที่อุตสาหกรรม FinTech ที่นำ AI มาประเมินเครดิต ตรวจจับความเสี่ยง และให้คำแนะนำการลงทุนแบบเรียลไทม์ จนกระทั่งธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) ที่เริ่มใช้ AI ช่วยวางแผนการเดินทางและบริการลูกค้าอัตโนมัติ ดังนั้นหากบริษัทใดเร่งนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้เร็วกว่า ย่อมมีโอกาสสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในระยะยาว

 

4. Valuation ของหุ้นจีนยังคงน่าสนใจ, แนวโน้มเงินปันผลยังสูง อาจดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนทั่วโลกและเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนในประเทศ

 

Goldman Sachs เผยว่าครัวเรือนจีนยังถือสินทรัพย์ 54% ในอสังหาริมทรัพย์ 28% ในเงินสด และเพียง 11% ในหุ้น และในสถานการณ์ปัจจุบันที่ อัตราดอกเบี้ยแท้จริงลดลงและผลตอบแทนคาดหวังจากหุ้นเพิ่มขึ้น (Equity Risk Premium) ปัจจัยเหล่านี้อาจผลักดันให้เงินทุน หลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลออกจากเงินฝากและสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดเข้าสู่ตลาดหุ้นในระยะต่อไป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูง โดยข้อมูลจาก Goldman Sachs : China Strategy “Orchestrating Returns in China’s Cash Symphony” (As of 6 July 225) เผยว่า อุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วน Dividend Payout Ratio ในปี 2024 สูงที่สุด และสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ได้แก่ สินค้า Consumer Staples, Energy และ Utility ทำให้กลุ่มเหล่านี้อาจเป็นเป้าหมายการลงทุนหากมีการโยกย้ายเม็ดเงินจากสินทรัพย์อื่นเข้ามาลงทุนในหุ้น รวมถึงอาจเป็นกลุ่มเป้าหมายการเข้าลงทุนของกองทุนภาครัฐ (National Team) ในระยะถัดไป

 

จากปัจจัยบวกและเหตุผลที่ได้กล่าวไปข้างต้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีดี จากจุดปัจจุบันที่จะเริ่มเปลี่ยนผ่านจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นด้วยความคาดหวังหรือ Sentiment การลงทุนตลอดจน Story Play ไปสู่การปรับตัวขึ้นที่ต้องสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทั้งในมิติของการเติบโตของกำไรและความแข็งแกร่งทางการเงินควบคู่กัน ขณะเดียวกันการลงทุนในหุ้นจีนซึ่งภาคธุรกิจมีความเกี่ยวโยงกับห่วงโซ่ของทั้งโลกทั้งในฐานะของผู้นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดและผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งโลกจะทำให้จีนได้รับอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของการเติบโตเศรษฐกิจโลกและนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นจีนนักลงทุนต้องติดตามปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นเพื่อประกอบการตัดสินใจรวมถึงนักลงทุนอาจจะต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงระหว่างการลงทุนในวันที่ 2 มหาอำนาจโลกอย่างจีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดและระเบียบโลก (World Order) ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

 

ภาพ: v-graphix/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising