เว็บไซต์ข่าว Beijing Daily เปิดเผยว่า สายการผลิตแรกของชิปโฟโตนิกสำหรับ ‘หลายวัสดุและข้ามขนาด’ หรือวงจรออปติคัลรวม จะแล้วเสร็จในกรุงปักกิ่งในปี 2023 โดยเป็นการพัฒนาที่คาดว่าจะเติมเต็มช่องว่างในการผลิตระดับบนสุดของประเทศ
รายงานระบุว่า เมื่อเทียบกับชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ชิปโฟโตนิกมีความเร็วสูงกว่าและสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่า โดยความเร็วในการคำนวณและอัตราการส่งข้อมูลเท่ากับ 1,000 เท่าของชิปอิเล็กทรอนิกส์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สรุป 5 ประเด็นเศรษฐกิจสำคัญ จากสุนทรพจน์ ‘สีจิ้นผิง’ เปิดประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
- จริงหรือที่ ‘อินเดีย’ กำลังจะเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่ต่อจากจีน? ถึงขั้นที่การผลิต 1 ใน 4 ของ ‘iPhone’ จะย้ายมาที่นี่ภายในปี 2025
- บริษัทเทคฯ ชั้นนำระดับโลกมุ่งลงทุนในเวียดนาม หลังจีนไร้วี่แววคลายนโยบาย Zero-COVID
บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนอย่างราบรื่น ความคืบหน้าของโรงงานนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นว่า กระบวนการวิจัยและพัฒนาของจีนดำเนินไปได้อย่างราบรื่นตามแผนที่วางไว้ และแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าจีนมีความพร้อมในการที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีการผลิตชิป
Beijing Daily เปิดเผยว่า Sintone บริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน จะเป็นผู้สร้างโรงงานผลิตชิปดังกล่าว
Sui Jun ประธานของ Sintone กล่าวว่า โรงงานผลิตชิปสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในหลากหลายด้าน รวมถึงการสื่อสาร ศูนย์ข้อมูล การทดสอบทางการแพทย์และภาคอื่นๆ ก่อนระบุว่า โรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างในด้านโรงผลิตชิปโฟโตนิกในประเทศจีน
ขณะที่รายงานของ Minsheng Securities ในเดือนกันยายนระบุว่า การใช้ชิปโฟโตนิกในประเทศจีนได้ขยายไปสู่แวดวงอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ยานพาหนะ การป้องกันประเทศ และอื่นๆ
Xiang Ligang นักวิเคราะห์เทคโนโลยีอิสระ มองว่า ชิปโฟโตนิกจะเป็นทิศทางสำคัญต่อไปของการพัฒนาชิป เนื่องจากความเสถียรและการใช้พลังงานต่ำ อีกทั้งชิปดังกล่าวยังไม่มีการผลิตในปริมาณมากที่ใดในโลกมาก่อน ดังนั้นโรงงานแห่งใหม่นี้จะแสดงให้เห็นว่าจีนสามารถเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีนี้ในโลกได้
ข้อมูลจาก Insight and Info ระบุว่า จีนได้กลายเป็นตลาดการสื่อสารแบบออปติกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และขนาดของตลาดชิปโฟโตนิกในประเทศจีนได้ขยายตัวอย่างน่าทึ่ง จากปี 2015-2021 ตลาดชิปโฟโตนิกในประเทศจีนขยายตัวจาก 800 ล้านดอลลาร์เป็น 2.08 พันล้านดอลลาร์ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 15%
วันเดียวกัน Global Times เปิดเผยรายงานระบุว่า บรรดาธนาคารหลายแห่งในหลายเมืองของจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรกให้เหลือต่ำกว่า 4% นับเป็นความเคลื่อนไหวที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าตลาดจะฟื้นตัวเร็วขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นการเติบโตของรัฐบาลเริ่มมีผลบังคับใช้
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ทางธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) 2 ครั้งในปีนี้ ก่อนที่ธนาคารหลายแห่งจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านใหม่เหลือประมาณ 4% ขณะที่อัตราที่ต่ำที่สุดอยู่ที่ 3.7% โดยเมื่อวันที่ 29 กันยายน ธนาคารกลางจีนกล่าวว่าจะอนุญาตให้เมืองที่มีสิทธิ์สามารถลดอัตราการจำนองสำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรก
เมืองต่างๆ ของจีนยังได้ประกาศมาตรการกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่อยู่อาศัย การตัดเงินดาวน์ ไปจนถึงการให้เงินอุดหนุนการซื้อบ้าน
สื่อท้องถิ่นเปิดเผยว่าเมืองที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว เช่น เมืองเทียนจิน ทางตอนเหนือของประเทศ เมืองฉือเจียจวง ทางตอนเหนือของมณฑลเหอเป่ย์ และเมืองจี่หนาน ทางตะวันออกของมณฑลชานตง เป็นต้น
ด้านนักวิเคราะห์เชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวงกว้าง โดย Song Ding นักวิจัยจากสถาบัน China Development Institute ในเซินเจิ้น กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยจีนยังคงน่าจับตามอง โดยเฉพาะในปีหน้า ซึ่งมาตรการที่ประกาศออกมาเป็นขั้นตอนระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางราย และความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน
Song กล่าวว่า ในระยะยาวจีนยังมุ่งส่งเสริมการพัฒนาตลาดที่อยู่อาศัยให้มีสุขภาพดี และถือเป็นส่วนหนึ่งที่รวมไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาที่เหมาะสมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยรัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นที่จะเร่งการจัดตั้งระบบที่อยู่อาศัย ด้วยการจัดหาที่อยู่หลายประเภท และการค้ำประกันแบบหลายช่องทาง สำหรับทั้งแบบให้เช่าเพื่ออาศัยและเช่าเพื่อการพาณิชย์
Yan Yuejin ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบัน E-House China R&D ในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ท่าทีของรัฐบาลจีนแสดงให้เห็นว่า การปฏิรูประบบที่อยู่อาศัยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะยังคงมีความสอดคล้องกับการพัฒนาในระยะยาวของอุตสาหกรรม และการปฏิรูประบบที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจะคำนึงถึงวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อสร้างความมั่นใจในการดำรงชีวิตของประชาชน และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในส่วนของการส่งเสริมการเติบโตร่วมกันของภาคการค้าและการเช่าที่อยู่อาศัย บรรดาผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากความพยายามหลายปี จีนสามารถขยายตลาดเปิดให้มีผู้เล่นหลายราย โดยที่บริษัทของรัฐเป็นผู้นำการเติบโต และบริษัทเอกชนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
อ้างอิง:
