ทั่วโลกกำลังจับตามหาอำนาจแห่งเอเชียตะวันออกที่ประกาศเป้าหมาย ‘ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์’ หรือ Zero Emission ซึ่งถือเป็นพัฒนาการครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การลงนามในความตกลงปารีสเมื่อปี 2016
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เกาหลีใต้ประกาศนโยบาย ‘ข้อตกลงสีเขียวใหม่’ หรือ Green New Deal เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ขณะที่ญี่ปุ่นให้คำมั่นจะบรรลุเป้าหมายในปี 2050 เช่นกัน
เมื่อเดือนกันยายน ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน สร้างความประหลาดใจกลางที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยให้คำมั่นที่จะบรรลุการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน คือใช้การชดเชยคาร์บอนและสร้างพลังงานสะอาดทดแทน จนทำให้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ก่อนปี 2060
เพียงแค่ 3 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2, 3 และ 11 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ก็ครอบคลุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1 ใน 3 ของโลกแล้ว และยิ่งสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ทำให้สำนักข่าวต่างชาติมองว่า เอเชียจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำการแก้ปัญหาโลกร้อนแทนชาติตะวันตก
THE STANDARD จะพาไปเจาะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของ 3 มหาอำนาจแห่งเอเชีย กับ 1 ความทะเยอทะยาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายใน 3 ทศวรรษข้างหน้า
พญามังกรปลอดมลพิษ?
คำประกาศผ่านการปราศรัยผ่านวิดีโอของ สีจิ้นผิง ต่อที่ประชุม UN เมื่อวันที่ 22 กันยายน เรียกได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ที่คุณอาจพลาดไปของปี 2020 ก็ว่าได้ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่จีนเปิดเผยเป้าหมายระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และเข้าร่วมในสมาคมขจัดโลกร้อนกลางศตวรรษที่ประกอบด้วย ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และอีกหลายประเทศ เพื่อบรรลุ Zero Emission ภายในกลางศตวรรษที่ 21
ปัจจุบันจีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 28% ของทั้งโลก มากกว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปรวมกัน เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ของจีนคือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 90% และชดเชยที่เหลืออีก 10% ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ซึมซับก๊าซคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ
หากจีนประสบความสำเร็จ Climate Action Tracker คาดการณ์ว่าจะช่วยลดอุณหภูมิของโลกได้ 0.2-0.3 องศาเซลเซียส ถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
แต่เส้นทางอีก 4 ทศวรรษของจีนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะจีนยังเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานจากถ่านหินมหาศาล เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหล็กและซีเมนต์ โดยจีนเผาผลาญถ่านหินกว่าครึ่งของปริมาณรวมกันทั้งโลก ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันตามเมืองใหญ่ของจีนดังที่เห็นทุกวันนี้
ปัญหาหมอกควันจีนจะหมดไปด้วยหรือไม่?
แต่พลิกเหรียญมาอีกด้าน จีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เป็นประเทศที่ลงทุน ผลิต และบริโภค พลังงานสะอาดมากที่สุดในโลก ซึ่งข้อเท็จจริงที่ทำให้แผนของ สีจิ้นผิง ดูไม่ใช่เรื่องเกินฝัน
หนังสือพิมพ์ The Guardian สรุปศักยภาพด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของจีนได้น่าสนใจ ดังนี้
- แผงพลังงานแสงอาทิตย์ 1 ใน 3 ผลิตจากจีน
- กังหันลม 1 ใน 3 มาจากจีนเช่นกัน
- จีนมีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งโลก
- 98% ของรถโดยสารประจำทางเป็นรถไฟฟ้า
- 99% ของรถจักรยานยนต์หรือจักรยานสองล้อ ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
- จีนเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ เช่นเดียวกับแบตเตอรี่เก็บพลังงาน
- ภายในปี 2025 โรงงานผลิตแบตเตอรี่ของจีนจะมีขนาด 2 เท่าของทั้งโลกรวมกัน
ด้วยอุปทานที่มากขนาดนี้ ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอนในสหรัฐฯ ประเมินว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคารถยนต์และรถโดยสารประจำทางที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
จีนจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร?
ตามรายงานของคณะกรรมาธิการการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน หรือ ETC วิเคราะห์ว่า หากจีนต้องการทำตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน จะต้องเพิ่มการลงทุนรายปีในพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 2 เท่า และ 3 เท่ากับพลังงานลม
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลจีนจะต้องทุ่มงบประมาณมหาศาล พัฒนาเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านพลังงานสะอาด อาทิ ไฮโดรเจนแบบรักสิ่งแวดล้อม คลังเก็บพลังงาน และกังหันลมนอกชายฝั่ง ซึ่งอันที่จริงจีนกำลังแข่งขันกับชาติ EU ในการผลิตนวัตกรรมเหล่านี้
จีนผลิตแผงโซลาร์เซลล์เป็นอันดับหนึ่งของโลก
บาร์บารา ฟินามอร์ ผู้อำนวยการอาวุโสสภาความมั่นคงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และผู้เขียนหนังสือ Will China Save the Planet เชื่อว่า “จีนจะพูดจริงทำจริง” เพราะ สีจิ้นผิง จะไม่ประกาศเป้าหมายยิ่งใหญ่ขนาดนี้กลางที่ประชุมระดับโลก หากไม่ประเมินจากหลักฐานต่างๆ แล้วว่า “เป็นสิ่งที่ทำสำเร็จได้” แม้ว่านัยแอบแฝงคือการช่วงชิงบทบาทจากสหรัฐฯ ที่ก้าวลงจากการเป็นผู้นำแก้ปัญหาโลกร้อน รวมถึงเป็นการวางแต้มต่อเชิงอำนาจก่อนที่รัฐบาลอเมริกาชุดใหม่ (ภายใต้การนำของ โจ ไบเดน) จะขึ้นรับตำแหน่ง
รัฐบาลจีนยังได้เปรียบเชิงนโยบายเมื่อเทียบกับสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ เพราะด้วยโครงสร้างทางการเมือง ทำให้การดำเนินแผนเชิงอุตสาหกรรมระยะยาวทำได้อย่างไร้รอยต่อ อีกทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนมหาศาล และนโยบายอื่นๆ ที่เกื้อกูลกันด้วย ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้เกิดในระดับประเทศอย่างเดียว แต่ลงลึกไปถึงระดับมณฑล เมือง และท้องถิ่น
แดนอาทิตย์อุทัย…ไร้คาร์บอน
“รัฐบาลจะใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อสร้างสังคมสีเขียว ผ่านการสร้างวงจรแห่งศีลธรรมและจริยธรรมรักสิ่งแวดล้อมในภาคธุรกิจและสิ่งแวดล้อม”
ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ ซูงะ ของญี่ปุ่น ประกาศจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ระหว่างการแถลงนโยบายครั้งแรกนับแต่ขึ้นรับตำแหน่ง
ตามข้อมูลของกระทรวงสิ่งแวดล้อม ญี่ปุ่นปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 1.24 พันล้านลูกบาศก์ตันเมื่อปี 2018 ถือว่าลดลงจากปีก่อนหน้า 3.9% และ 12% จากช่วงพีกสุดในปี 2013 แต่กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกรีนพีซชี้ว่า ญี่ปุ่นมีพัฒนาการที่ช้าเกินไป
ดังนั้นกรีนพีซจึงยินดีกับคำประกาศของซูงะ แต่เตือนว่า “คำมั่นสัญญาต้องพิสูจน์ด้วยการขับเคลื่อนทางนโยบาย”
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชี้ว่า แผงโซลาร์เซลล์และระบบรีไซเคิลคาร์บอนจะเป็นหัวใจสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ โดยญี่ปุ่นจะเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมดิจิทัล เพราะ “การแก้ปัญหาโลกร้อนไม่ได้เป็นข้อจำกัดต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจอีกต่อไปแล้ว”
ไม่นานหลังถ้อยแถลงของซูงะ รัฐบาลท้องถิ่น 175 เมืองทั่วประเทศ รวมถึงกรุงโตเกียว เกียวโต และโยโกฮาม่า ได้ประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ แสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่รัฐบาลกลาง แต่รัฐบาลเมืองต่างๆ มุ่งมั่นจะขับเคลื่อนนโยบายสร้าง ‘สังคมสีเขียว’ อย่างจริงจัง
และ 175 เมืองที่ประกาศจุดยืนเดียวกับรัฐบาลนั้น เมื่อรวมประชากรแล้วจะมากถึง 82 ล้านคน หรือ 64.7% ของประชากรญี่ปุ่นเลยทีเดียว
พื้นที่สีส้มคือจังหวัดที่ประกาศลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050
ทั้งนี้ เอริก ปีเดอร์สัน หัวหน้าแผนกการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบของบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ Nordea Asset Management ชี้ว่า “การที่ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 เป็นข่าวดี แต่เตือนว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้องเริ่มลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน รวมถึงหยุดสร้างและสนับสนุนการสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหินในต่างประเทศด้วย
เกาหลีใต้สีเขียวหรือสีเทา
การสร้างงานพร้อมกับแก้ปัญหาโลกร้อนคือหัวใจหลักของ ‘ข้อตกลงสีเขียวใหม่’ ของรัฐบาลเกาหลีใต้ เป็นการพลิกวิกฤตการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวจุดเครื่องยนต์เดินหน้าการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวแบบยั่งยืน
ตัวเลขการจ้างงานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาพบว่า ลดลงเกือบ 4 แสนตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรม และอาหาร ส่งผลให้ประธานาธิบดี มุนแจอิน ประกาศนโยบาย ‘ข้อตกลงเกาหลีใหม่’ หรือ K-New Deal รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
Green New Deal เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายนี้ เพื่อสร้างงานเกือบ 3.2 แสนตำแหน่ง ผ่านการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ภายในปี 2022 และเกือบ 6.6 แสนตำแหน่งในปี 2025 โดย มุนแจอิน จะเป็นประธานการประชุมติดตามผลแบบรายเดือนด้วยตนเอง
Credit: Korean New Deal – คำบรรยาย หน้าปกเอกสารนโยบายของเกาหลีใต้
รายละเอียดของข้อตกลงสีเขียวใหม่ของเกาหลีใต้มีอะไรบ้าง เราสรุปมาโดยสังเขป ดังนี้
- ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์และกังหันลมเป็น 42.7 กิกะวัตต์ในปี 2025 (จาก 12.7 กิกะวัตต์เมื่อปีที่แล้ว)
- รัฐบาลจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ 2.5 แสนชิ้นตามอาคารสาธารณะ
- สร้างวงจรอัจฉริยะ (Smart Grids) คือเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้บริการและบริหารสาธารณูปโภคด้านพลังงานได้
- ติดตั้งมาตรวัดอัจฉริยะ 5 ล้านชิ้นตามอพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัย เพื่อช่วยผู้บริโภคลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
- สร้างชุมชนไมโครกริด (Microgrids Communities) หรือชุมชนที่เชื่อมต่อกันด้วยพลังงานเพื่อการอยู่อาศัย ผ่านระบบการสร้างพลังงานทดแทนและสะสมพลังงานในชุมชน ช่วยให้ชุมชนต่างๆ รวมถึงตามเกาะต่างๆ มีระบบพลังงานคาร์บอนต่ำแบบเอกเทศ ไม่ต้องพึ่งพิงสาธารณูปโภคจากส่วนกลาง
- ตั้งเป้าผลิตและใช้งานรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 1.35 ล้านคัน และรถยนต์พลังไฮโดรเจนอีก 2 แสนคันภายในปี 2025 โดยมีบริษัทยานยนต์สัญชาติเกาหลีใต้อย่าง Hyundai เป็นผู้ได้ผลประโยชน์จากนโยบายนี้
- สร้างสถานีเติมไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 4.5 หมื่นแห่ง และสถานีเติมพลังงานไฮโดรเจน 450 แห่ง โดยมีบริษัท EM Korea ของเกาหลีใต้ที่ได้ประโยชน์
- ริเริ่มแนวคิดสร้างเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน ด้วยการลดและรีไซเคิลพลังงาน โดยใช้ประโยชน์จากแผงวงจรพลังงานที่ล้ำหน้าและควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อดักจับและสะสมก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิตในโรงงาน แล้วนำกลับมาใช้ใหม่
อย่างไรก็ดี มีฝ่ายที่ออกมาวิจารณ์นโยบายสีเขียวของเกาหลีใต้เช่นกัน โดยมองว่าเป็น ‘สีเทามากกว่าสีเขียว’ ยกตัวอย่าง การทยอยยกเลิกการใช้ถ่านหิน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สกปรกที่สุด แต่รัฐบาลเกาหลีใต้กลับแทนที่ด้วยการใช้ ‘เชื้อเพลิงฟอสซิลที่อ้างว่าสะอาดกว่า’ อย่างก๊าซธรรมชาติแบบเหลว หรือ LNG นอกจากนี้ พวกเขายังมองว่าการใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานสำหรับยานยนต์ เป็นเรื่องที่เกินความเป็นจริง และประชาชนทั่วไปยังเข้าถึงยาก
รัฐบาลเกาหลีใต้ชี้แจงว่า พลังงานทดแทน อาทิ LNG นั้นเป็นเพียงเชื้อเพลิงที่นำมาแทนที่ถ่านหินเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจนถึงระดับที่ไม่ต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเหล่านี้อีกเท่านั้น ขณะที่การใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงนั้น เป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังวิจัยและพัฒนา รวมถึงในออสเตรเลียด้วย
ข้อตกลงปารีสสู่ ‘เป้าหมายกลางศตวรรษ’
การประกาศบรรลุ ‘การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’ และ ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’ ภายในปี 2050-2060 หรือช่วงกลางศตวรรษที่ 21 ถือได้ว่าเป็นเฟส 2 ต่อจากความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement ที่บรรลุเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ปี 2015 ระหว่างการประชุมว่าด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 21 หรือ COP 21 ที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส
ข้อตกลงนี้มีจุดประสงค์เพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อนด้วยการสร้างอนาคตคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ผ่านการออกนโยบายและเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ถือเป็นข้อตกลงฉบับแรกของโลกที่นำทุกประเทศมาร่วมกันแก้ปัญหาที่มีร่วมกัน ด้วยเป้าหมายขั้นต่ำคือ การคงระดับอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงเกิน 2% ก่อนสิ้นสุดศตวรรษที่ 21 พร้อมกับเดินหน้าพยายามควบคุมอุณหภูมิไม่ให้พุ่งสูงเกิน 1.5% (เทียบกับระดับอุณหภูมิก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม)
แม้จะเป็นข้อตกลงระดับโลก แต่ Paris Agreement ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ใช้หลักการที่เรียกว่าการมีส่วนร่วมในระดับประเทศอย่างมุ่งมั่น หรือ Nationally Determined Contributions โดยทุกประเทศที่ลงนามเป็นประเทศภาคีของข้อตกลงนี้จะต้องรายงานผลการดำเนินงานและตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อสหประชาชาติแบบรายปี และทุกๆ 5 ปี จะประเมินผลว่าเป็นไปตามเป้าประสงค์ของข้อตกลงหรือไม่ พร้อมประกาศมาตรการขั้นต่อไปของแต่ละประเทศภาคี
สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสแล้ว
แม้นานาประเทศจะบรรลุข้อตกลงในปี 2015 แต่การเปิดให้ลงนามเป็นชาติภาคี เริ่มขึ้นในวันที่ 22 เมษายน ปี 2016 และเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 2016 หลังมีประเทศลงนามและให้สัตยาบันเกินจำนวนขั้นต่ำ 55 ประเทศเป็นที่เรียบร้อย ในจำนวนนี้รวมถึงประเทศไทยที่ลงนามและแจ้งเจตจำนงต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2015
นับแต่นั้นก็ยังมีประเทศทยอยให้สัตยาบันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจนถึงปัจจุบันรวมแล้วมีประเทศที่ลงนามเป็นชาติภาคีข้อตกลงปารีสทั้งหมด 189 ประเทศ จากเดิม 190 ประเทศ ภายหลังสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลง และมีผลบังคับเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 2020
แม้ชาติตะวันตกและชาติยุโรปหลายประเทศทยอยประกาศแผนกลางศตวรรษที่ 21 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แล้ว ตามด้วยมหาอำนาจเอเชียอย่าง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ แต่ประเทศไทยยังคงเจตจำนงเดิมคือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20-25% ภายในปี 2030
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- https://www.scmp.com/comment/opinion/article/3111655/how-china-japan-and-south-korea-can-make-their-carbon-neutral-goals
- https://www.theguardian.com/commentisfree/2020/oct/05/china-plan-net-zero-emissions-2060-clean-technology
- https://www.weforum.org/agenda/2020/11/paris-agreement-climate-change-us-biden/
- https://www.bbc.com/news/election-us-2020-55046714
- https://www.nytimes.com/2020/11/04/climate/paris-agreement-us-election.html
- https://climateactiontracker.org/press/china-carbon-neutral-before-2060-would-lower-warming-projections-by-around-2-to-3-tenths-of-a-degree/
- https://edition.cnn.com/2020/10/26/asia/japan-emissions-target-2050-scli-intl/index.html
- https://theconversation.com/south-koreas-green-new-deal-shows-the-world-what-a-smart-economic-recovery-looks-like-145032
- https://www.energy-transitions.org/wp-content/uploads/2020/07/CHINA_2050_A_FULLY_DEVELOPED_RICH_ZERO_CARBON_ECONOMY_ENGLISH.pdf
- file:///Users/apple/Downloads/Korean%20New%20Deal.pdf
- https://unfccc.int/process-and-meetings/the-paris-agreement/what-is-the-paris-agreement
- http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER38/DRAWER027/GENERAL/DATA0000/00000207.PDF
- https://www.greennetworkthailand.com/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81/
- http://www.tgo.or.th/2015/thai/news_detail.php?id=724