×

เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน?

14.05.2025
  • LOADING...
china-fighter-jets-pakistan-india-war

เครื่องบินขับไล่ J-10CE พร้อมจรวดที่จีนส่งมอบให้กองทัพปากีสถาน เป็นที่จับตามองจากทั่วโลก หลังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในระหว่างการเผชิญหน้ากับฝูงบินรบของอินเดียที่ทำการโจมตีทางอากาศเข้าใส่หลายพื้นที่ของปากีสถานและแคว้นแคชเมียร์ในส่วนการปกครองของปากีสถาน เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา 

 

รัฐบาลปากีสถานอ้างว่า เครื่องบินรบสัญชาติจีนดังกล่าว ซึ่งติดตั้งจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยไกลแบบ PL-15E ที่ผลิตในจีนเช่นกัน สามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ 5 ลำ ในจำนวนนี้รวมถึงเครื่องบินรบ Rafale ที่ผลิตในฝรั่งเศสจำนวน 3 ลำ ส่วนอีก 2 ลำคือ MiG-29 และ Su-30 ที่ผลิตในรัสเซีย

 

โดยเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของฝรั่งเศสยืนยันว่า มีเครื่องบิน Rafale ถูกยิงตกอย่างน้อย 1 ลำ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ขอไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า มีเครื่องบินรบของอินเดียอย่างน้อย 2 ลำถูกยิงตก หนึ่งในนั้นคือ Rafale แต่อินเดียยังไม่แสดงความเห็นต่อรายงานดังกล่าว

 

ในด้านการทหาร ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นจุดสนใจของนานาชาติ เนื่องจากเครื่องบินรบ Rafale นั้นเป็นเครื่องบินรบยุค 4.5 ที่มีสมรรถนะทางการบินและเทคโนโลยีในระดับสูง ในขณะที่กองทัพปากีสถานใช้ทั้งเครื่องบินรบ และระบบตรวจจับอาวุธจากจีนเป็นหลัก ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถือเป็นการสูญเสียเครื่องบิน Rafale ในสมรภูมิครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา Rafale ยังไม่เคยมีประวัติถูกยิงตกมาก่อน

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมมองว่า ข่าวการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกหลายลำ แสดงให้เห็นภาพความเป็นไปได้ของสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หากความขัดแย้งระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันเกิดปะทุขึ้น จนมีการใช้กำลังต่อสู้กัน

 

สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน

 

นักวิเคราะห์ไต้หวันมองว่า หากเครื่องบินรบของจีนมีศักยภาพสูงจริงแบบที่เป็นข่าว ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไต้หวันต้องเตรียมพร้อมและปรับปรุงระบบอาวุธทั้งหมดของตน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเทคโนโลยีอาวุธของจีน

 

ขณะที่ เฉินกวนถิง สมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวันจากพรรค DPP ของไต้หวัน ให้ความเห็นว่า กรณีที่ปากีสถานใช้ระบบอาวุธและเครื่องบินรบสัญชาติจีน ยิงเครื่องบินรบ Rafale ของอินเดียตกได้สำเร็จจริง ถือเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของไต้หวัน

 

เขากล่าวว่า เหตุการณ์นี้อาจเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในการประเมินสมรรถนะของอาวุธจีนในการเผชิญหน้ากับเทคโนโลยีอาวุธจากชาติตะวันตกโดยผลลัพธ์ของการสู้รบ จะมีผลต่อการตัดสินใจจัดซื้ออาวุธของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

“สำหรับไต้หวัน เราต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามของเราคืออะไร และเราควรลงทุนด้านใดอย่างเร่งด่วน”

 

ทางด้าน ซูเสี่ยวหวง นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันวิจัยความมั่นคงและการป้องกันแห่งชาติของไต้หวัน (INDSR) มองว่า เหตุการณ์นี้เป็นการแสดงออกถึงการทำสงครามแบบบูรณาการของจีนผ่านประเทศพันธมิตร

 

“ปากีสถาน ภายใต้การสนับสนุนของจีน ใช้ระบบเตือนภัยทางอากาศ KJ-500, เรดาร์ภาคพื้นดิน และเครือข่ายสั่งการดิจิทัล ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเป้าหมายไปยังเครื่องบินรบ”

 

ด้วยระบบนี้ทำให้ J-10C สามารถยิงขีปนาวุธ PL-15E ได้โดยไม่ต้องเปิดเรดาร์ของตนเอง ซึ่งเรียกว่าการแยกฟังก์ชัน ‘เซ็นเซอร์’ กับ ‘การยิง’ (Sensor-Shooter Separation) โดยลดการถูกตรวจจับ ในขณะที่เพิ่มศักยภาพในการเปิดฉากโจมตีก่อน

 

“ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ตัวขีปนาวุธ แต่คือเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังมัน”

 

โดยนักวิเคราะห์มองว่า ระบบเช่นนี้คือภัยคุกคามที่ไต้หวัน ‘ยังไม่พร้อมรับมือ’

 

อีริช ชีห์ นักวิเคราะห์การทหาร กล่าวว่า “นอกจากเรือพิฆาต Kidd-class ที่ไต้หวันได้จากสหรัฐฯ แทบไม่มีระบบอาวุธใดที่สามารถบูรณาการเข้ากับเครือข่ายควบคุมการยิงร่วมของไต้หวันได้”

 

เขาเสริมว่า แม้แต่เครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ E-2K ที่สหรัฐฯ ขายให้ไต้หวัน ก็ยังขาดระบบสำหรับการปฏิบัติการร่วม โดยถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงในสงครามทางอากาศยุคใหม่

 

ข้อจำกัดนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ F-16V ของไต้หวันมีเรดาร์ AESA ที่ทันสมัย 

 

ส่วนเครื่องบินอื่นอย่าง Indigenous Defence Fighter และ Mirage 2000-5 ยังขาดระบบรบอิเล็กทรอนิกส์และการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลที่ปลอดภัย

 

ซูจื่อหยุน นักวิเคราะห์ของ INDSR เตือนว่า “หากไม่มีการบูรณาการระบบอาวุธ ไต้หวันจะมีข้อจำกัดอย่างรุนแรงในการรับมือกับการโจมตีระยะไกลที่ประสานงานกัน

 

“เราต้องเพิ่มศักยภาพนักบินให้สามารถตอบโต้การรบแบบรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ และการล็อกเป้าด้วยเรดาร์ของศัตรูได้”

 

พล.ร.อ. หลานหนิงลี่ อดีตผู้บัญชาการทหารไต้หวันที่เกษียณอายุแล้ว มองว่าเหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักวางแผนของกองทัพไต้หวัน

 

“หลักนิยมแบบตะวันตกยังคงเน้นความเหนือกว่าของยุทโธปกรณ์ แต่นั่นล้าสมัยแล้ว เครื่องบินรบ Rafale อาจมีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Spectra ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการซุ่มโจมตีแบบประสานงานกันของระบบอาวุธจีน ซึ่งขีปนาวุธเป็นแค่ขั้นตอนสุดท้ายของห่วงโซ่การสังหารที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน”

 

เขาย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปากีสถาน ไม่ใช่แค่การรบกลางอากาศธรรมดา แต่เป็นการแสดงศักยภาพการโจมตีทางอากาศตามแบบฉบับจีน

 

“ไต้หวันต้องสร้าง ‘ระบบ’ ไม่ใช่แค่ซื้อยุทโธปกรณ์ หากกองทัพปลดปล่อยจีน (PLA) ใช้ระบบ ISR และสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบเดียวกันในกรณีไต้หวัน ยุทโธปกรณ์ของเราจะถูกโจมตีก่อนที่จะได้ยิงตอบโต้ด้วยซ้ำ”

 

ขณะที่ไต้หวันกำลังเผชิญแรงกดดันจากจีนมากขึ้น ทั้งจากกิจกรรมสีเทาใกล้เขตอากาศแทบทุกวัน  โดยนักวิเคราะห์เตือนว่าหากไม่เรียนรู้จากบทเรียนในเอเชียใต้ ไต้หวันอาจต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก

 

อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวไต้หวันยังดูจะเพิกเฉยต่อเหตุการณ์นี้ โดยมีการพูดคุยเรื่องนี้ในโซเชียลมีเดียเพียงเล็กน้อย แม้สื่อท้องถิ่นหลายสำนัก จะรายงานข่าวนี้อย่างกว้างขวางพร้อมตั้งข้อสังเกตถึงผลกระทบที่อาจมีต่อไต้หวัน

 

ไต้หวันต้องเสริมเขี้ยวเล็บรับมือจีน?

 

อนาลโย กอสกุล ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์เทคโนโลยีการทหาร มองว่าไต้หวันอาจต้องกลับมาพิจารณาการเสริมสร้างอาวุธของตนมากเป็นพิเศษ เพราะเครื่องบินรบและจรวดจากจีนที่กองทัพปากีสถานนำมาใช้นั้น ล้วนเป็นรุ่นส่งออกที่ลดประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ไต้หวันต้องรับมือกับรุ่นที่มีขีดความสามารถตามปกติ และต้องรับมือกับอากาศยานรุ่นอื่นอย่าง J-20 ที่เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อีกด้วย 

 

ในขณะที่โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-16V จากสหรัฐฯ จำนวน 66 ลำของไต้หวันดำเนินการไปค่อนข้างช้า และเพิ่งได้รับมอบเครื่องบินลำแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เท่านั้น

 

โดยรวมแล้ว อนาลโยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามปากีสถานและอินเดียทำให้ช่องว่างระหว่างกองทัพจีนและไต้หวันที่เคยกว้างอยู่แล้วนั้นกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้นไต้หวันอาจต้องพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น การพยายามจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่กว่า F-16V เช่น F-15EX หรือแม้แต่เครื่องบินขับไล่ F-35 ซึ่งสหรัฐฯ เคยปฏิเสธไม่ขายมาแล้ว รวมถึงอาจต้องพิจารณาจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบอาวุธที่ใช้งานกับอากาศยานเพิ่มเติม เพื่อลดช่องว่างดังกล่าวให้มากที่สุด

 

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหลักของไต้หวันก็คือ ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ยินดีขายอาวุธให้ เพราะประเทศอื่นๆ ล้วนเกรงว่าการขายอาวุธให้ไต้หวันอาจทำให้จีนไม่พอใจจนนำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไต้หวันต้องหาทางออกให้ได้

 

ภาพ: REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising