ในนิทรรศการห้องที่ 2 จัดแสดงข้อความของผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ
“เราเถียงกันจนผู้ชายทำร้ายร่างกายเรา เขาพูดจาหยาบคาย เราโมโหจึงเกิดสู้กัน เราก็เลยหยิบมีดในกระเป๋าแทงเขา เราพกไว้ป้องกันตัวเองตลอด เราเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว” – พลอย
ข้อความส่วนหนึ่งจากการสัมภาษณ์อดีตผู้ต้องขังในทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ซึ่งปรากฏอยู่ในห้องนิทรรศการของ ‘พิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์’ บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงวัย 42 ปีแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน บรรทัดล่างสุดของเนื้อหาบ่งชี้ว่าเธอต้องโทษโดยความผิดฐานฆ่าคนตาย จนนำไปสู่การตัดสินจำคุกถึง 8 ปี
ผู้ต้องขังหญิง กับบทบาททางสังคมที่ถูกกดทับ
ชลธิช ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด TIJ ระบุว่า สัดส่วนความผิดของผู้ต้องขังหญิง ร้อยละ 87.8 เป็นความผิดฐานคดียาเสพติด มีเพียงน้อยนิดที่ต้องจำคุกด้วยคดีใหญ่อย่างความผิดเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งมีเหตุมาจากความรุนแรงในผู้หญิง หรือความรุนแรงในครอบครัวที่กดทับให้ผู้หญิงหลายคนต้องลุกขึ้นตอบโต้กลับ ในขณะที่คดียาเสพติด มีผู้ต้องขังหลายรายถูกยัดยาใส่กระเป๋า เพื่อใช้ความเป็นผู้หญิงในการหลบเลี่ยงการสืบค้นจากเจ้าหน้าที่ หรือบางคนจำเป็นต้องค้าขายสารเสพติดเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกของตนเอง เป็นต้น บทบาททางเพศที่มีข้อจำกัดเหล่านี้เป็นเหตุให้สังคมควรมองความผิดที่กระทำโดยผู้หญิงอย่างรอบด้านมากขึ้น
“บางคนทำความผิดเพราะว่าไม่มีเงินสำหรับการไปเลี้ยงดูลูกหรือว่าในการดำรงชีวิต เพราะฉะนั้นหลายครั้งเราจะเห็นมิติของการที่ผู้หญิงเข้าไปอยู่ในวงจรการกระทำความผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือว่าติดสอยห้อยตามไปด้วย มิติเหล่านี้เป็นมิติที่บางทีสังคมอาจจะยังมองไม่ค่อยเห็น” ชลธิชระบุ
ชลธิช ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด TIJ
ชลธิชกล่าวต่อไปว่า ความท้าทายของเรือนจำคือการเข้าใจรากปัญหาของอาชญากร และมุ่งบำบัดให้ผู้ต้องขังกลับสู่สังคมโดยไม่กระทำผิดซ้ำ พิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์จึงได้นำเสนอแนวคิดของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ จากอดีตที่เคยเป็นแดนของการลงโทษ เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่แห่งการปรับตัวและฟื้นฟูเพื่อกลับมาอยู่ร่วมสังคม โดยเรือนจำได้จัดอบรมวิชาชีพที่หลากหลาย เช่น การนวด การประกอบอาหาร การทอผ้าพื้นเมือง เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ของตลาดแรงงาน และสอดรับกับความสามารถของผู้ต้องขัง
“การบำบัดฟื้นฟูให้เขาออกจากเรือนจำไปไม่กระทำผิดซ้ำ พื้นฐานคือเราหยิบยื่นทักษะที่เหมาะสำหรับบุคคลนั้น สำคัญว่าหากเราต้องการจะเปลี่ยนจากการลงโทษเพื่อทำให้คนขยาดหวาดกลัว เปลี่ยนมาเป็นการลงโทษที่แก้ไขฟื้นฟูและทำให้คนเกิดทักษะใหม่ๆ ทักษะเหล่านั้นก็ต้องเป็นทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้จริง แล้วตอบรับกับตลาดแรงงานในปัจจุบัน”
งานหัตถการทอผ้าไหมโดยกลุ่มผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ โดยทอเป็นลายเอกลักษณ์พื้นเมืองประจำจังหวัดเชียงใหม่
งานตัดเย็บและออกแบบเสื้อผ้าโดยกลุ่มผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำภายใต้แบรนด์ NAREE
‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’ รากฐานเพื่อสิทธิผู้ต้องขังหญิง
ข้อมูลงานวิจัยของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เผยว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ต้องขังหญิงมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก และหากเทียบเป็นอัตราส่วนต่อประชากร 1 แสนคน นับว่าประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้ต้องขังเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยตัวเลขสถิติที่พุ่งสูงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้สภาพแวดล้อมในเรือนจำหญิงนั้นแออัด ขาดการดูแลอย่างทั่วถึง ซ้ำร้ายการออกแบบเรือนจำในประเทศไทยส่วนมากยังออกแบบมาเพื่อผู้ต้องขังชาย ทำให้ขาดการบริการอนามัยของแม่และเด็ก และมีปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเฉพาะในเพศหญิง
“พอมีผู้หญิงที่เข้าสู่เรือนจำ เขามีปัจจัยที่ไม่เหมือนผู้ชาย เขามีภาระการเลี้ยงดูลูก มีเหตุผลการกระทำความผิดที่ไม่เหมือนกัน ทั่วโลกก็เลยเกิดความตระหนักรู้แล้วว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลคน แต่ว่ามันต้องการการดูแลคนที่เข้าใจถึงเรื่องของเพศสภาวะ”
ด้วยความตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการรับรองมาตรฐานของสหประชาชาติที่เรียกว่า ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’ หรือว่าข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดหญิง ซึ่งมีแนวคิดในการมองผู้หญิงบนความเป็นมนุษย์มากขึ้น โดยหลักปฏิบัติของข้อกำหนดกรุงเทพมีอยู่ทั้งหมด 5 ข้อสำคัญ ได้แก่
- ผู้ต้องขังแรกเข้ามีความเปราะบาง และไม่คุ้นชินต่อสภาพแวดล้อม เรือนจำต้องดูแลอย่างระมัดระวัง
- ต้องให้โอกาสผู้ต้องขังติดต่อโลกภายนอก เพื่อรักษาความสัมพันธ์ต่อคนใกล้ชิด
- ต้องให้ความรู้และทักษะทางวิชาชีพ เพื่อโอกาสในการประกอบสัมมาชีพ และไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก
- เมื่อตั้งครรภ์ แม่ต้องได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และเด็กต้องได้รับการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
- ผู้ต้องขังต้องได้รับการดูแลสุขภาพเพื่อผู้หญิงในคุณภาพระดับเดียวกันกับชุมชนภายนอก
ทั้งนี้ ชลธิชกล่าวเสริมว่า ข้อกำหนดกรุงเทพมี 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งพูดถึงเรื่องของการดูแลผู้หญิงในเรือนจำ ส่วนที่สองคือการใช้มาตรการอื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ทุกวันนี้เรือนจำมีมาตรการการดูแลที่ค่อนข้างจะหลากหลาย แต่ว่าสิ่งที่ยังทำได้น้อยอยู่คือการไม่ใช้เรือนจำในกรณีที่ไม่จำเป็น มีคนอยู่ไม่น้อยที่ต้องอยู่ในเรือนจำเพราะคดียังไม่เสร็จสิ้น หรือบางคนก็มีโทษเล็กน้อยมาก
“จุดสำคัญ สิ่งที่จะทำให้ข้อกำหนดกรุงเทพเดินหน้าไปได้ก็คือ เราคงต้องโฟกัสว่าเราจะทำอย่างไรให้การใช้เรือนจำเป็นมาตรการสุดท้ายอย่างแท้จริง แล้วก็ใช้มาตรการทางเลือกที่มีความหลากหลาย แล้วก็เหมาะสมกับบริบทของทุกคน”
บรรยากาศห้องนิทรรศการจัดแสดงความเป็นมาเกี่ยวกับข้อกำหนดกรุงเทพ ในขณะที่กำลังก่อสร้างพิพิธภัณฑ์
เมื่อมองข้ามความผิดของฉัน โดยทั่วไปแล้ว ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
เบื้องหน้าของพิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์มีตัวอักษร ญ หญิง ขนาดใหญ่วาดลงผืนผ้า ผู้มาเยี่ยมเยียนต้องเดินแหวกผ่านผ้าผืนนี้ก่อนเข้าชมนิทรรศการ หากไม่ได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน จะไม่ทันได้เอะใจว่า ตัว ‘ั’ ที่อยู่ตรงฐานของ ญ หญิง นั้นเขียนตวัดหางผิดทาง
ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ออกแบบและพัฒนาโครงการพิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์ เปิดเผยว่า ทางผู้ออกแบบจงใจให้ฐานของ ญ หญิง หันไปอีกทาง เปรียบเสมือนความผิดที่เคยกระทำของผู้ต้องขังหญิง แต่เมื่อมองโดยรวมแล้ว ผู้ต้องขังเอง ธรรมดาก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่พลั้งผิดได้ และพร้อมที่จะแก้ไขผิดให้เป็นถูกอย่างที่มนุษย์พึงกระทำได้
บริเวณทางเข้าพิพิธภัณฑ์ปรากฏผ้าผืนใหญ่ บนผืนผ้ามีพยัญชนะ ญ หญิง โดยฐานของพยัญชนะหันไปยังประตูทางเข้าด้านซ้ายมือ
เมื่อเดินชมไปจนถึงห้องโถงกลางจะพบกับไฮไลต์ของนิทรรศการในเฮือนโบราณอายุร่วมร้อยปีหลังนี้ นั่นคือห้องจัดแสดงแก้วน้ำของผู้ต้องขังหญิง โดยนำแก้วน้ำของผู้ต้องขังของจริงจากเรือนจำมาแขวนเรียงเป็นกริดตารางพาดกำแพง และปรากฏแก้วน้ำสีแดงจัดวางเป็นตัวอักษร ญ หญิง ขนาดใหญ่ ซึ่งฐาน ญ หญิง หันไปอีกทางเช่นเดียวกันกับโลโก้เบื้องหน้าพิพิธภัณฑ์
นิทรรศการแก้วน้ำผู้ต้องขังเรียงเป็นพยัญชนะ ญ หญิง เมื่อลองมองใกล้ๆ จะเห็นตัวตนบนแก้วน้ำ แต่เมื่อถอยออกมาก็จะพบว่าพวกเขาคือ ผู้หญิง (ญ หญิง) คนหนึ่ง
ฤทธิรงค์เอ่ยว่า ผู้ต้องขังแต่ละคนจะได้รับแก้วน้ำส่วนตัวคนละใบที่ลักษณะเหมือนกันหมด เวลาเข้าเรือนจำไป ต่างคนจึงทำสัญลักษณ์บางอย่างลงบนแก้ว บ้างเป็นลายมือ บ้างเป็นสีเขียน บ้างเป็นสติกเกอร์ ทำให้แก้วน้ำแต่ละใบเปรียบเสมือนตัวตนของผู้ต้องขัง
“แก้วน้ำคือชีวิต ภาชนะของแต่ละคนก็จะบรรจุชีวิตของเขา เมื่อวันที่เขามาที่นี่ เขาจะหยิบแก้วน้ำของเขาออกมา เทน้ำเดิมทิ้ง แล้วต้องแขวนเอาไว้รอที่จะเติมน้ำใหม่ เมื่อเขาออกจากที่นี่แล้ว เขาก็จะหยิบแก้วน้ำของเขาออกไปใช้ชีวิตใหม่ ใช้น้ำใหม่ในการดำเนินชีวิต แต่แก้วน้ำก็ยังคงอยู่ ยังเป็นตัวตนของเขาอยู่”
เมื่อถามถึงความท้าทายของการออกแบบพิพิธภัณฑ์ ฤทธิรงค์ให้คำตอบว่า ความท้าทายของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ การสื่อสารความสดใส หรือมุมสว่างในตัวตนของผู้ต้องขัง โดยโจทย์ที่ต้องแก้ไขให้ได้คือ ที่ผ่านมาคำว่า ‘ผู้ต้องขัง’ ได้ลดทอนความแตกต่างหลากหลาย และลบล้างตัวตนของผู้หญิงกลุ่มนี้ไป พิพิธภัณฑ์จะต้องฝ่าอคติที่สังคมมองผู้ต้องขังด้วยความหวาดกลัว และเปลี่ยนการตีตราคนกลุ่มนี้ว่าเป็น ‘ผู้ต้องขัง’ ให้กลายเป็น ‘ผู้ผิดพลาด’ โดยที่ยังคงความเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไร
“คอนเซปต์ของเราคือ จากความมืดมาสู่ความสว่าง จากการจองจำมาสู่โอกาส ความยากของมันคือว่า เราจะฝ่าอคติที่มองคนที่เป็น ‘ผู้ต้องขัง’ เปลี่ยนเป็น ‘ผู้ผิดพลาด’ มองเรื่องของการจองจำ เปลี่ยนเป็นการให้โอกาสได้อย่างไร
“จริงๆ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นโอกาสของผู้ต้องขังเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นโอกาสของคนในสังคมที่จะได้ทำความเข้าใจ ได้เรียนรู้ ได้ย่างก้าวเข้าไปอีกโลกหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่กล้าจะฝ่าเข้าไป เพราะฉะนั้นนิทรรศการก็เหมือนประตู ให้เราเปิดประตูเข้าไปสู่โอกาสของการเรียนรู้กันและกัน” ฤทธิรงค์ระบุ
ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ออกแบบและพัฒนาโครงการพิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์
เรือนจำต้องเป็นเหมือนบ้าน
ข้อมูลจากรายงานการสำรวจผู้ต้องขังหญิงในประเทศไทย พ.ศ. 2561 ระบุว่า แต่เดิมสัดส่วนของผู้ต้องขังชายนั้นมีมากกว่าผู้ต้องขังหญิง ทำให้หลายเรือนจำมีการออกแบบเฉพาะผู้ชาย และต้องแบ่งแดนหญิงแยกออกมาแทน ซึ่งจุผู้ต้องขังหญิงได้เพียงราวๆ 30-60 คน แต่จำนวนผู้ต้องขังหญิงในปัจจุบันสูงถึง 200-300 คนต่อเรือนจำ การที่ผู้ต้องขังหญิงต้องถูกควบคุมตัวในสถานที่ที่มีความแออัด และออกแบบมาเพื่อผู้ต้องขังชาย ทำให้เกิดปัญหาจำนวนมาก เช่น โรคติดต่อในเรือนจำ การถูกล่วงละเมิด คุณภาพชีวิตย่ำแย่ ซึ่งบั่นทอนสุขภาพกายและใจของผู้ต้องขังหญิงอย่างมาก
ฤทธิรงค์เปิดเผยว่าตนเคยได้เข้าไปเยี่ยมชมเรือนจำไทยอยู่ 2-3 ครั้ง แล้วได้เปรียบเทียบกับเรือนจำต่างประเทศ พบว่าเรือนจำของไทยนั้นแออัด คุณภาพชีวิตต่ำ และคนป่วยกันได้ง่ายมาก ในฐานะอาจารย์ที่คร่ำหวอดอยู่ในแนวคิดอย่างสถาปนิก เขาเชื่อว่าสภาพแวดล้อมนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ที่ผ่านมาผู้ต้องขังอาจอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีมาก่อน เช่น ครอบครัวไม่อบอุ่น หรืออยู่ในความรุนแรง อยู่ในวงจรของยาเสพติด พอเข้าไปในเรือนจำก็เจอภาพแบบเดียวกันหรือเลวร้ายยิ่งกว่า ฉะนั้นหากเราอยากให้คนที่เคยประพฤติผิดได้แก้ไขปรับปรุงตัวเอง เรือนจำเองต้องเอื้อให้คนเหล่านั้นสามารถทำสิ่งดีๆ ให้กับตนเองและผู้อื่นได้โดยง่าย
“ผมมองว่าถ้าเรือนจำดี คุณภาพชีวิตในเรือนจำดี เหมือนบ้านที่เราอยู่อาศัยกัน เพียงแต่ว่าขาดอิสรภาพ ตรงนั้นจะทำให้เกิดภาพใหม่ของการใช้ชีวิต ผมว่าสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนั้นถ้าเกิดสภาพแวดล้อมดี พฤติกรรมก็จะดี ชีวิตก็น่าจะดี ภาพจำที่อยู่ในเรือนจำจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งใจที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
เสียงสะท้อนจากผู้เคยผิดพลั้ง หวังสังคมให้โอกาสตนได้มอบสิ่งที่ดีกลับคืน
ระหว่างเดินชมในพิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์ ผู้ที่มาบอกเล่าเรื่องราวในเรือนจำแห่งนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ต้องขังหญิงที่ใกล้พ้นโทษ จะมาเป็นมัคคุเทศก์เดินนำชมนิทรรศการในแต่ละห้อง บุคคลภายนอกที่มาเยี่ยมเยียน นอกจากจะได้เรียนรู้จากนิทรรศการติดตั้ง ยังได้เรียนรู้กับพิพิธภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบมนุษย์ การได้ทำความรู้จัก การได้ทำความเข้าใจ และการได้สัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ได้อย่างใกล้ชิด จึงกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยี่ยมชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
หม่ำ ผู้ต้องขังหญิงที่ใกล้พ้นโทษในทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
หม่ำ ผู้ต้องขังหญิงที่ใกล้พ้นโทษในทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ได้บอกเล่าระหว่างนำชมนิทรรศการว่า สาเหตุของการต้องโทษในเรือนจำของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนถูกหลอก บางคนถูกบังคับ ทั้งนี้ตนก็ยอมรับว่านี่คือความผิดที่เกิดขึ้นจริง แต่หากได้รับโอกาสแก้ไขตนเองได้ก็จะแก้ไข เพราะทุกคนก็ไม่มีใครอยากมาอยู่ตรงจุดนี้
“อยากให้ทุกคนให้โอกาส เพราะว่าคนที่อยู่ข้างใน (เรือนจำ) ก็มีความรู้ มีความสามารถ อยากให้เขา (ผู้มาเยี่ยมชมนิทรรศการ) คิดใหม่ ให้มองผู้ต้องขังใหม่ว่า ผู้ต้องขังทุกคนไม่ได้เลวร้ายกันทุกคน…อยากให้สังคมภายนอกให้โอกาสพวกเรา ให้เราปรับปรุงตัวเองค่ะ อยากให้เห็นว่าพวกเราก็มีศักยภาพที่ดี”
หม่ำยังระบุอีกว่า การอยู่ที่นี่ ตนได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพที่หลากหลาย เช่น การเย็บปักถักร้อย การทอผ้า การทำอาหาร การทำเบเกอรี เป็นต้น สำหรับตนเองได้เลือกเรียนวิชาการนวด ถ้าพ้นโทษกลับไปสู่สังคม และหากสังคมให้โอกาส ตนจะได้ประกอบอาชีพนวดแผนไทยอย่างสุจริตตามที่ตั้งใจไว้
“อยากให้ที่ทุกคนที่มาชมนิทรรศการให้โอกาสเรานะ เพราะว่าการให้โอกาสก็เหมือนกับให้ชีวิตของผู้ต้องขังใหม่”
ภาพที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ผู้ต้องขังหญิงกำลังฝึกวิชาชีพปักผ้าด้วยลวดลายที่สดใส
มากกว่าโอกาสที่ผู้ต้องขังได้รับ คือโอกาสของสังคมที่ได้พลเมืองคุณภาพคืนมา
เรือนพธำมรงค์เดิมเป็นที่พักสำหรับพัศดีเรือนจำ ซึ่งก่อสร้างมาพร้อมกับเรือนจำใน พ.ศ. 2457 ต่อมาเรือนจำจึงได้เป็นกลายเป็นทัณฑสถานหญิง ทางราชทัณฑ์จึงเลือกใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานฝึกอาชีพ เพราะว่ามีทำเลที่ตั้งเหมาะสม อยู่ใจกลางเมือง โดยมุ่งหวังให้ผู้ต้องขังได้ปรับตัวและพัฒนาทักษะวิชาชีพก่อนกลับสู่สังคม และสังคมได้มีโอกาสสร้างความเข้าใจในผู้ต้องขัง และให้โอกาสอีกครั้งหลังพ้นโทษ
“ผู้ต้องขังเมื่อต้องโทษอยู่ในเรือนจำนานๆ สังคมเรือนจำก็จะเป็นสังคมปิด เพราะฉะนั้นโอกาสในการฟื้นฟูสภาพจิตใจก็จะค่อนข้างทำได้ลำบาก แต่หากเมื่อเขาใกล้พ้นโทษ เขาได้ไปอยู่ในสถานที่ในชุมชนที่ใกล้เคียงกับสังคมภายนอก เขาก็จะมีช่วงเวลาปรับตัวก่อนพ้นโทษ จึงเป็นประโยชน์กับผู้ต้องขังอย่างมาก” อาจารี ศรีสุนาครัว ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ระบุ
อาจารี ศรีสุนาครัว ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความหวาดกลัวของชาวบ้านและคนภายนอกที่มองถึงการตัดสินใจสร้าง ‘โอกาสสถาน’ หรือพื้นที่ฟื้นฟูและอบรมก่อนปล่อยตัวในพื้นที่ที่ใกล้ชิดชุมชน ในทางกลับกัน อาจารีเผยต่อแหล่งข่าวว่า “ทำเลที่ตั้งของเรือนจำนั้นส่งผลดีอย่างมาก เพราะนี่ไม่ใช่เพียงโอกาสของผู้ต้องขังในการปรับตัวก่อนกลับสู่สังคม แต่สังคมเองก็จะได้โอกาสในการเรียนรู้ศักยภาพของผู้ต้องขังอีกด้วย
“จุดแข็งของการที่มีสถานฝึกอาชีพในชุมชนคือ ชุมชนและผู้ต้องขังได้มีโอกาสที่จะได้ศึกษาร่วมกัน ผู้ต้องขังเองก็จะได้ประโยชน์ในการที่เขาได้ทดลองการทำงาน ได้พบผู้ใช้บริการจริงๆ และเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ สำหรับชุมชนเองก็จะได้เห็น จะได้เรียนรู้ เข้ามาสัมผัสเรา (ผู้ต้องขัง) ได้ง่ายกว่าการเข้าไปอยู่ในเรือนจำ”
อาจารีกล่าวว่า หากสังคมและชุมชนไม่ให้โอกาสผู้ต้องขังในการประกอบอาชีพ สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายในการกลับเข้าสู่สังคมเมื่อพ้นโทษอย่างมาก ทั้งเสริมว่า อีกหนึ่งโอกาสที่สังคมจะได้รับจากการให้โอกาสพวกเขาแล้ว คือการที่สังคมเองก็จะได้รับโอกาสจากแรงงานคุณภาพที่พร้อมป้อนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม
“ตราบใดที่ทั้งสองส่วน คือทั้งผู้ต้องขังแล้วก็ชุมชนได้เปิดโอกาสแลกเปลี่ยนความเข้าใจกัน โอกาสการกระทำผิดซ้ำจะลดลง สังคมเองก็จะได้ประโยชน์จากการที่ผู้ต้องขังสามารถนำความรู้มาประกอบอาชีพเพื่อพัฒนาชุมชนได้ ตัวอย่างที่ผ่านมาก็มีมาก ผู้พ้นโทษนำวิชาชีพที่เรียนกลับไปถ่ายทอดในชุมชน แถมยังเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนได้”
จาก ‘ทัณฑสถาน’ สู่ ‘โอกาสสถาน’ ที่ไม่ใช่เพียงโอกาสของผู้ต้องขังในการเรียนรู้อาชีพและปรับตัวกลับคืนสู่สังคม แต่นี่คือโอกาสของสังคมในการที่จะได้รับพลเมืองคุณภาพกลับคืนมา ‘พิพิธภัณฑ์เรือนพธำมรงค์’ แห่งนี้พร้อมยินดีต้อนรับแขกเหรื่อที่มาเยือนเหย้า คอยบอกเล่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ผู้เคยผิดพลาด และย้ำว่า เมื่อคืนความเป็นมนุษย์แก่ผู้ต้องขัง สังคมย่อมได้รับความยุติธรรมกลับคืนเช่นกัน