ย้อนกลับไป 72 ชั่วโมงก่อนเกมนัดชิง ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก 2025 เชลซีถูกประเมินว่ามีโอกาสชนะเพียง 36 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แชมป์ยุโรปทีมล่าสุด มีโอกาสคว้าแชมป์สูงถึง 64 เปอร์เซ็นต์
และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เพราะเปแอสเชไล่สยบทีมดังแห่งพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ UCL รอบน็อกเอาต์ ก่อนจะปิดบัญชีอินเตอร์ มิลานแบบ outclass ด้วยสกอร์ 5-0
จากนั้นยังสานต่อความร้อนแรงในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกด้วยการปราบ บาเยิร์น มิวนิก ในรอบ 8 ทีม และถล่ม เรอัล มาดริด แบบขาดลอย 4-0
ทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไม เปแอสเชจึงดู “เหนือกว่า” ในสายตาแฟนบอลทั่วโลก
ขณะที่เชลซี แม้จะผ่านเข้าชิงมาได้ แต่ระหว่างทางที่เดินมาถึงนัดสุดท้ายถูกมองว่า “ไม่หนัก” เท่าคู่แข่งอย่างเปแอสเช
เพราะหลังจากผ่านเบนฟิก้ามาในรอบ 16 ทีม ก็มาเอาชนะสองทีมจากบราซิลอย่าง พัลไมรัส และฟลูมิเนนเซ ในรอบ 8 ทีม และรอบรองฯ ตามลำดับ
หลายคนพูดว่า “เชลซียังไม่เจอของจริง” ซึ่งเมื่อดูจากสถิติ ข้อมูล และการจำลองผลแข่งนับหมื่นครั้งจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Opta ทุกอย่างล้วนชี้ไปที่คำตอบเดียวคือ เปแอสเช.. โอกาสแพ้น้อยมาก
เช่นเดียวกับฝั่งนักเตะเชลซี ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า พวกเขาถูกมองว่าเป็นทีมรองอย่างชัดเจน และต่างก็เห็นตรงกันว่า นาทีนี้ เปแอสเช คือทีมที่ร้อนแรงที่สุดในโลก
แต่แม้จะรู้อย่างนั้น… ไม่มีใครในทีมแสดงอาการ ‘หงอ’ หรือเกรงกลัวออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย และในมุมกลับกัน.. สายตาทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเตรียมมา
“เปแอสเชเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม…แต่เราไม่ใช่อินเตอร์ มิลาน และไม่ใช่เรอัล มาดริด” ลีวาย โคลวิลล์ กล่าวไว้ก่อนเกม
ทุกคนรู้ดีว่าเชลซีกำลังเจอกับอะไร แต่แทนที่จะกลัว พวกเขาเลือกสู้ด้วยหัวใจของทีมที่ไม่มีอะไรจะเสีย เพราะสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการแบบไม่เผื่อใจคือ “ชัยชนะ”
และเมื่อเสียงนกหวีดเริ่มขึ้น เชลซีก็ไม่ปล่อยให้เปแอสเชได้ตั้งเกมตามที่ถนัดทุกคนไล่เพรส ใส่จังหวะหนัก บีบช่องว่าง จนแชมป์ยุโรปแทบไม่ทันตั้งตัว
และกว่าที่เปแอสเชจะคิดหาทางจบสกอร์ได้.. โคล พาลเมอร์ ก็จัดการเปลี่ยนอุณหภูมิในสนามที่กำลังร้อนได้ที่ ให้กลายเป็นความหนาวเหน็บด้วยการยิง 2 ลูกในระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10 นาที ก่อนจ่ายพานให้ เจา เปโดร ยิงฝังอีกเม็ดเป็น 3-0
ในขณะที่เปแอสเชพยายามทุกวิธีเพื่อกลับสู่เกม แต่ฝั่งเชลซีไม่มีใครผ่อนเครื่อง ไม่ว่าตัวจริงหรือตัวสำรองที่ลงมาแทน ทุกคนเล่นเหมือนมี ซอฟต์แวร์คำสั่งว่า “วิ่งดิเอ๋” ติดอยู่ในหัวตลอดเวลา
สุดท้าย เชลซีรักษาสกอร์ 3-0 ไว้ได้จนจบ 90 นาที
นี่กลายเป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกมองว่าเป็นรองก่อนเกม แต่เป็น “แชมป์” หลังจบเกม
และมากกว่านั้น พวกเขากลายเป็น ทีมจากยุโรปรายแรก ที่คว้าแชมป์ครบทุกถ้วย ทั้งในประเทศ, ยุโรป และระดับโลก พร้อมจารึกชื่อไว้บนถ้วยแชมป์สโมสรโลกใบใหม่เป็นทีมแรกของโลก
ถ้าสตอรีความสำเร็จของเชลซีครั้งนี้เปรียบได้กับนิทานเล่มหนึ่ง
นิทานเล่มนี้…คงสอนเราว่า “อย่าให้ใครมาบอกว่า…คุณทำไม่ได้”
เพราะเชลซีพิสูจน์ให้เห็นในค่ำคืนนี้แล้วว่า แค่คุณเชื่อในตัวเอง เตรียมตัวให้พร้อม และกล้าลงมือทำ
“If there is 1 chance, have 99% faith” (แม้จะมีโอกาสแค่ 1% ก็จงศรัทธาให้มากถึง 99%)
และไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาแบบไหน… จะสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เหมือนเชลซีในค่ำคืนนี้ หรือกลับกัน…ต้องเผชิญหน้ากับคำว่า “ไม่สำเร็จ”
ขอแค่คุณได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ก่อน
เพราะบางครั้ง… “ความพยายามสุดหัวใจ” ก็น่าภูมิใจไม่น้อยไปกว่า “ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ” เสียอีก 😃