ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่กลุ่มทุนที่นำโดย ทอดด์ โบห์ลี เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสร เชลซีคือทีมที่อยู่ในช่วง ‘ลองผิดลองถูก’ ภายใต้แนวคิดใหญ่ที่ต้องการสร้างทีมด้วย ‘พลังหนุ่ม’
พวกเขาทุ่มเงินกว่า 1,000 ล้านปอนด์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2022 เพื่อเซ็นสัญญาดาวรุ่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มอยเซส ไกเซโด, เอนโซ เฟร์นานเดซ, มิไคโล มูดริก หรือ เคนดรี ปาเอซ ที่กำลังจะเข้ามาเสริมทีมในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนี้มาพร้อมกับความท้าทาย ผลงานในสนามช่วงสองปีแรกไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ทั้งอันดับในลีกที่หลุดจากพื้นที่ยุโรปรายการใหญ่ และตู้รางวัลที่ว่างเปล่า แนวทางนี้ก็ถูกตั้งคำถาม และกลายเป็นข้อครหาในสายตาแฟนบอลว่า เชลซีกำลังหลงทาง?
โดยเฉพาะการเปลี่ยนเฮดโค้ชทีมถึง 4 คนใน 2 ปี จาก โธมัส ทูเคิล, เกรแฮม พอตเตอร์, แฟรงค์ แลมพาร์ด ถึงเมาริซิโอ โปเช็ตติโน ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของสโมสรดูไร้ทิศทาง
กระทั่งฤดูกาล 2024/25 ภายใต้การคุมทีมของ อดีตผู้ช่วยของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทีมพลังหนุ่มชุดนี้เริ่ม ‘ต่อจิ๊กซอว์ได้ถูกช่อง’ เชลซีทะยานจบอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก คว้าตั๋วแชมเปียนส์ลีกแบบฉิวเฉียดในวันสุดท้ายของฤดูกาล
และที่สำคัญที่สุดคือการคว้าแชมป์ยูฟ่าคอนเฟอเรนซ์ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยชัยชนะเหนือเรอัล เบติส 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่เพียงถ้วยรางวัลแรกในยุคโบห์ลี แต่เป็นการพิสูจน์ว่าแนวคิดการลงทุนในดาวรุ่งเริ่มผลิดอกออกผล
ทีมที่มีค่าเฉลี่ยอายุเพียง 23.5 ปี ได้เขียนเรื่องราวแห่งชัยชนะด้วยตัวเอง และจุดประกายความหวังให้แฟนบอล เห็นว่า เชลซีในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยทีม ‘พลังหนุ่ม’ ได้คืนชีพแล้ว..
เบื้องหลังชัยชนะ และ ‘โคล พาลเมอร์’ ผู้เปลี่ยนเกม
แม้จะจบเกมด้วยชัยชนะขาดลอย แต่ถ้าใครได้ดูเกมจะรู้ว่า เชลซีต้องออกแรงไม่น้อย หลังถูกเรอัล เบติส ออกนำก่อนจากการยิงสุดเฉียบคมของ อับเด เอซซัลซูลี ที่รับบอลจาก อิสโก้ และยิงเข้าไปอย่างเฉียบขาดตั้งแต่ 9 นาทีแรกของเกม
ครึ่งแรก เชลซีดูเหมือนหมดพลังจากการเฉลิมฉลองหลังคว้าตั๋วแชมเปียนส์ลีกในเกมชนะน็อตติงแฮม ฟอเรสต์นัดปิดฤดูกาลก่อนหน้านี้
เพราะมาเรสกาเองก็ยอมรับว่า “เรารู้ว่าคงเริ่มเกมได้ไม่ดี เพราะความดีใจมันมากเกินไปในสองวันที่ผ่านมา…เราเหนื่อย ส่วนเบติสได้พักมากกว่า 48 ชั่วโมง”
ทว่าครึ่งหลังกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน ‘โคล พาลเมอร์’ คือตัวเปลี่ยนเกม เขาสร้างความหนาวสั่นใส่แผงหลังเบติส ด้วยการขยับหาพื้นที่ได้อย่างชาญฉลาด แล้วเปิดสองลูกให้ เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ โหม่งตีเสมอ และ นิโกลาส แจ็คสัน ชาร์จจ่อๆ แซงนำภายในเวลาเพียง 5 นาที
ก่อนที่ จาดอน ซานโช จะบวกเพิ่มอีกลูกจากการจ่ายของ เคียร์แนน ดิวส์เบอรี-ฮอลล์ และปิดท้ายด้วยประตูที่ 4 จาก มอยเซส ไกเซโด ในช่วงทดเจ็บ
แม้พาลเมอร์ไม่ได้ลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม แต่การมาในรอบน็อกเอาต์ทำให้พาลเมอร์กลายเป็นคีย์แมนในเกมสำคัญ เขาคือคำจำกัดความของคำว่า ‘Gamechanger’ จากความฉลาดการอ่านเกม การเคลื่อนที่ และความนิ่งในจังหวะสำคัญ แม้หลายนัดก่อนหน้าจะมีช่วงดรอปไปบ้างก็ตาม
บวกกับแท็กติกของมาเรสกาในเกมนี้ยังสะท้อนถึงปรัชญาการเล่นที่ได้รับอิทธิพลจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา การเน้นครองบอลและสร้างเกมจากแดนหลัง ผสมผสานกับการเคลื่อนที่แบบไม่มีบอลของผู้เล่นแนวรุก
ช่วยให้เชลซีสามารถเจาะแนวรับของเบติสได้ในครึ่งหลัง (แม้จะตื้นตันมากๆ ในครึ่งแรก) การปรับเปลี่ยนแท็กติกในช่วงพักครึ่ง โดยให้ รีซ เจมส์ มาแทน มาโล กุสโต ก็ช่วยเพิ่มการเติมเกมรุกจากด้านข้างที่เอาอยู่ทั้งเกมรุกและรับ อีกทั้งยังช่วยเปิดพื้นที่ให้พาลเมอร์, ซานโช และคู่กลางของทีมได้แสดงศักยภาพจนมีส่วนกับประตูสำคัญในครึ่งหลัง
หนึ่งเดียวของยุโรป ‘เชลซี’ ทีมแรกที่ครองแชมป์ยุโรปครบทุกถ้วย
ชัยชนะครั้งนี้นอกจากเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่คว้าแชมเปียนส์ลีกปี 2021 ยังทำให้เชลซีกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ยุโรปครบทั้ง 5 รายการของยูฟ่า ประกอบด้วย
✅ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (2011/12, 2020/21)
✅ ยูฟ่ายูโรปาลีก (2012/13, 2018/19)
✅🆕 ยูฟ่าคอนเฟอเรนซ์ลีก (2024/25)
นอกจากนี้เชลซียังเคยคว้าแชมป์ยุโรปรายการอื่นครบทุกถ้วย ไม่ว่าจะเป็น
✅ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ (1970/71, 1997/98)
✅ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (1998, 2021)
มาเรสกาสอบผ่านฤดูกาลแรก แต่ยังมีจุดต้องปรับและเรียนรู้
ด้วยความที่นักเตะล้นทีมมาตั้งแต่ต้น ทำให้มาเรสกาใช้กลยุทธ์แบบกล้าเสี่ยงในฤดูกาลนี้ ด้วยการแบ่งทีมเป็น 2 ชุด โดยใช้ทีมดาวรุ่งผสานผู้เล่นในม้านั่งสำรองลงเตะบอลถ้วยยุโรป และเก็บทีมหลักไว้ลุยพรีเมียร์ลีก
แม้ผลงานของมาเรสกาในฤดูกาลแรกจะถือว่าน่าพอใจและเต็มไปด้วยความหวัง แต่ก็ยังมีบางจุดที่สะท้อนให้เห็นถึงความ ‘ไม่สมบูรณ์’ โดยเฉพาะในเรื่องของ การจัดวางผู้เล่น และการตัดสินใจเลือกใช้นักเตะในบางสถานการณ์ ที่ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม
ไม่ว่าจะเป็นการหมุนเวียนตัวนักเตะที่มากเกินไปในบางนัด ทำให้จังหวะเกมขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงต้นถึงกลางฤดูกาลที่ทีมดูเหมือนไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน และต้องปรับบ่อยครั้งจนขาดเสถียรภาพ
การเลือกใช้งานนักเตะบางรายผิดตำแหน่งที่อาจได้ผลบ้าง..แต่ไม่ใช่กับทุกคน หรือการดันผู้เล่นที่ไม่ถนัดเกมรับให้ยืนลึกเกินไป ซึ่งแม้จะเกิดจากความพยายามยืดหยุ่นแท็กติก แต่บางครั้งก็ทำให้ทีมเสียสมดุล
รวมถึงการเปลี่ยนแท็กติกในเกมช้าเกินไป หลายครั้งทีมเสียโมเมนตัมไปในช่วงครึ่งหลังเพราะการปรับเกมหรือเปลี่ยนตัวล่าช้า ทั้งที่สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น
สิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรในวันที่ทีมได้ชูถ้วยแชมป์แบบนี้ แต่ถ้าหันกลับไปมองภาพรวมก็ถือเป็นรายละเอียดที่หากไม่ปรับปรุง อาจกลายเป็นข้อเสียสะสมในฤดูกาลที่ต้องเจอกับเกมที่เข้มข้นยิ่งขึ้น อย่าง แชมเปียนส์ลีก และการแข่งขันที่มีเดิมพันสูงกว่าเดิมในฤดูกาลหน้า
อนาคตข้างหน้า: แชมเปียนส์ลีก ตลาดนักเตะ และความท้าทาย
หลังคว้าแชมป์คอนเฟอเรนซ์ลีก เชลซียังมีภารกิจใน ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่สหรัฐฯ และกำลังจะเผชิญกับฤดูกาลใหม่ที่ความคาดหวังสูงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะในแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2025/26 จะเป็นบททดสอบที่ใหญ่กว่า เนื่องจากมาเรสกาจะไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบ่งทีม 2 ชุดได้เหมือนในคอนเฟอเรนซ์ลีก ผู้เล่นตัวหลักอย่างพาลเมอร์, ไกเซโด, เอนโซ เฟร์นานเดซ และ รีซ เจมส์ จะต้องรับบทหนักทั้งในลีกและยุโรป
นั่นทำให้ตลาดนักเตะที่จะมาถึงนี้ เป็นช่วงเวลาชี้ชะตา ว่าสิงห์บลูส์จะเลือกเติมผู้เล่นแบบเดิมอย่างที่เคยทำ หรือจะมุ่งเป้าไปยังตำแหน่งศูนย์หน้าบิ๊กดีลอย่าง วิกตอร์ ยอเกเรส ซึ่งมีข่าวลือในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันการพัฒนาดาวรุ่งให้กลายเป็นกำลังหลักที่มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันสูงก็จะเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่มาเรสกาต้องวางแผนระยะยาวให้แม่นยำ โดยเฉพาะการมาของ 2 ดาวรุ่งในฤดูกาลหน้าอย่าง เคนดรี ปาเอซ และ เอสเตเวา วิลเลียน จะต้องได้รับโอกาสและการขัดเกลาที่เหมาะสมเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์
นี่จึงเป็นความท้าทายที่มาเรสกาจะต้องหาสมดุลระหว่างการให้โอกาสดาวรุ่ง และการรักษาความสม่ำเสมอของทีมชุดหลักเอาไว้ในเกมที่มีเดิมพันและความคาดหวังที่สูงกว่าเดิม
สุดท้ายแล้ว ชัยชนะในยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ลีก ไม่ใช่เพียงการคว้าถ้วยรางวัล แต่เป็นดั่งสัญญาณของการฟื้นคืนชีพของเชลซี
สโมสรที่เคยเต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องทิศทาง แต่กำลังค่อยๆ พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ทีมพลังหนุ่ม + วิสัยทัศน์ที่กล้าเสี่ยง คือส่วนผสมที่สามารถนำพาสู่ความสำเร็จได้จริง
ทีมที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 23.5 ปี ภายใต้การคุมทีมของ เอนโซ มาเรสกา ได้จุดประกายความหวังใหม่ให้แฟนสิงห์บลูส์ทั่วโลก แม้ยังไม่ใช่ทีมที่สมบูรณ์ที่สุด แต่สื่อเป็นนัยว่า พวกเขากำลังเดินมาในทิศทางที่ถูกต้อง
และค่ำคืนแห่งชัยชนะที่โปแลนด์ ก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ของเชลซี
ยุคที่ไม่ได้ถูกสร้างมาแค่เพื่อชนะในวันนี้ แต่ถูกออกแบบมาเพื่อ ‘ครองอนาคต’ ด้วยพลังแห่งความกล้า ความกระหาย
และความเชื่อมั่นของคนหนุ่ม ที่เริ่มหันหน้ามองกันแล้วพูดในใจว่า “ถ้าต้องสู้เพื่อแชมป์จริงๆ พวกเราก็ทำได้นี่หว่า 😏”
อ้างอิง: