×

ชัชชาติ ร่วมหารือพันธมิตรคนพิการ รับฟังข้อเสนอเชิงนโยบาย เน้นเรื่องสวัสดิการ-การจ้างงาน ย้ำ กทม. ต้องน่าอยู่สำหรับทุกคน

โดย THE STANDARD TEAM
10.08.2022
  • LOADING...
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

วานนี้ (9 สิงหาคม) ที่ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ประชุมร่วมกับเครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์เลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย (We Watch) และพันธมิตรคนพิการ เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายที่เกี่ยวกับคนพิการ โดยมี ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. คณะผู้บริหาร กทม. สำนักการจราจรและขนส่ง สำนักพัฒนาสังคม และผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุม 

 

ทางเครือข่าย We Watch และพันธมิตรคนพิการได้นำข้อเสนอเชิงนโยบายจำนวน 45 ข้อ ซึ่งได้มาจากการระดมความคิดเห็นของคนพิการรวม 43 คน มาเสนอต่อผู้ว่าฯ กทม. โดยมีเรื่องหลัก 4 ข้อที่ผ่านการโหวตมาแล้วว่าอยากให้ดำเนินการก่อน ได้แก่

 

  1. ให้คนพิการและผู้ติดตามสามารถขึ้นรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินฟรี 

 

  1. การสร้างเครือข่ายผู้ปกครองเยาวชนคนพิการ รวมถึงการจ้างงานผู้ปกครองของคนพิการ 

 

  1. การจ้างงานคนพิการ

 

  1. ตลาดนัดเพื่อให้คนพิการสามารถร่วมนำสินค้ามาขายได้

 

ชัชชาติได้กล่าวถึงเรื่องหลัก 4 เรื่อง ว่าสำหรับเรื่องแรก ปัจจุบันคนพิการสามารถขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดินได้ฟรีอยู่แล้ว แต่ผู้ติดตามยังคงคิดราคาอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดูความเป็นไปได้อีกครั้งว่าจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เรื่องการสร้างเครือข่ายผู้ปกครองเยาวชนคนพิการ เป็นเรื่องที่ทาง กทม. เห็นด้วยอย่างมาก เพราะพ่อแม่ที่มีลูกพิการถือเป็นกลุ่มที่เปราะบาง หลายครั้งทางภาครัฐอาจจะให้ความช่วยเหลือได้ไม่ตรง 

 

แต่กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองคนพิการจะมีความเข้าใจหัวอกซึ่งกันและกัน มีประสบการณ์ซึ่งแบ่งปันกันได้ และจะเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งในการช่วยดูแลซึ่งกันและกัน โดยทาง กทม. จะเป็นตัวกลางในการพัฒนาเครือข่ายกลุ่มนี้ รวมถึงการดูแลเรื่องการจ้างงานผู้ปกครองคนพิการต่อไป จะเห็นได้ว่าช่วงการแพร่ระบาดโควิดที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและเปราะบางมากที่สุด คือกลุ่มพ่อแม่ที่มีลูกพิการ เพราะต้องมีคนดูแลลูกพิการตลอดเวลาแล้ว 1 คน และออกไปทำงานได้เพียง 1 คน 

 

ซึ่งหมายถึงจะมีคนทำงานเพียงคนเดียว แต่ต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวอย่างน้อย 3 คน กทม. จึงคิดว่าการพัฒนาเครือข่ายพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกพิการคล้ายๆ กัน ก็จะสามารถช่วยให้เขามีคำตอบกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่ง กทม. จะต้องช่วยสนับสนุนด้านต่างๆ ตามความเหมาะสม 

 

ชัชชาติกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการอำนวยความสะดวกกับบริษัทที่มีการจ้างงานคนพิการว่า เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มจาก กทม. ก่อน เพราะที่ผ่านมา กทม. มีการจ้างงานคนพิการน้อย ปัจจุบันได้มีการจ้างงานคนพิการประมาณ 150 คน ซึ่งจะเพิ่มให้เป็น 300 คน และตั้งเป้าไว้ว่าจะจ้างงานคนพิการอย่างน้อย 600 คน 

 

“การจ้างงานคนพิการมีข้อดีคือ ทำให้รู้ว่าเราขาดอะไรในที่ทำงานบ้าง เพราะประชาชนที่มีความพิการต้องมาติดต่อเขตอยู่แล้ว หากมีคนพิการซึ่งทำงานอยู่ในเขต ก็จะสามารถเตรียมสถานที่ให้พร้อมขึ้นได้ อีกทั้งจะทำให้เจ้าหน้าที่ กทม. เห็นว่า ยังมีคนที่มีความแตกต่างกันอยู่ ทำให้เข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างกันของเพื่อนร่วมงาน และประชาชนที่มีความพิการด้วย” ชัชชาติกล่าว

 

ชัชชาติกล่าวต่อไปว่า เรื่องการสร้างพื้นที่ให้คนพิการสามารถมาขายของได้ เช่น ตลาดนัด เป็นนโยบายที่ได้แจ้งกับศานนท์ไว้แล้วว่า ถ้าเป็นไปได้ให้ตลาดต่างๆ ของ กทม. หรือตลาดนัด จัดพื้นที่ให้คนพิการมีโอกาสนำสินค้ามาขาย พร้อมได้เน้นกับทางเครือข่าย We Watch ว่า เราไม่ต้องการให้ขายของได้จากความสงสาร เพราะความสงสารอยู่ไม่จีรัง ไม่ยั่งยืน

 

ดังนั้นสินค้าที่จะนำมาขายต้องเป็นสินค้าที่ตรงตามความต้องการของตลาดและมีคุณภาพด้วย ซึ่งจะตอบโจทย์ผู้บริโภค และจะทำให้อยู่ได้ระยะยาว เพราะฉะนั้น ทาง กทม. ก็จะต้องมีการอบรมวิชาชีพ การตลาดต่างๆ เพื่อให้คนพิการสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในระยะยาว 

 

ชัชชาติกล่าวด้วยว่า นโยบายของ กทม. มีความชัดเจนว่า ต้องการทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ซึ่งกลุ่มคนพิการถือว่าเป็นพลเมืองสำคัญของเมือง เราต้องพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะเขาคือกลุ่มคนเปราะบางที่สุดของคนในเมือง ตนเชื่อว่าถ้าทำให้พี่น้องที่พิการสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ คนทั่วไปก็เดินทางได้ดีขึ้นแน่นอน ถ้าเราให้บริการและดูแลคนพิการได้ดี คนทั่วไปก็จะได้รับการดูแลที่ดีขึ้นด้วย 

 

ด้านศานนท์กล่าวว่า กทม. จะมีการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อมาช่วยใน 2 เรื่อง คือ

 

  1. เรื่องการศึกษา ซึ่งปัจจุบันจะเห็นว่าการศึกษาสำหรับคนพิการเข้าถึงยากมาก จึงคิดว่าการใช้แพลตฟอร์มจะทำให้เขาสามารถเรียนที่บ้านได้ โดยจะต้องมีหลักสูตรที่ตรงกับความพิการ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ 

 

  1. เรื่องการจ้างงาน แพลตฟอร์มยังสามารถต่อยอดไปถึงอาชีพได้ สำหรับเดือนสิงหาคมเป็นเทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรามีเทคโนโลยีที่จะบูรณาการร่วมกับ กทม. หลายแพลตฟอร์ม ซึ่งหนึ่งในแพลตฟอร์มนั้นจะเกี่ยวกับคนพิการ

 

“อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องโครงสร้างต่างๆ ซึ่ง กทม. จะรับเรื่องไป อาทิ การปรับปรุงทางเท้า ปรับปรุงพื้นที่ให้มีความเชื่อมต่อกัน ส่วนเรื่องของกิจกรรมและงานที่ กทม. จัด เช่น บางกอกวิทยา จะมีการเชิญกลุ่มคนพิการเข้ามาร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จะมีทั้งเดือน โดยกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้คิดแค่ให้เข้าได้บางคน แต่ต้องเข้าได้ทุกคน ตัวอย่างเช่น กรุงเทพกลางแปลง ที่ได้นำแอปพลิเคชัน Pannana (พรรณนา) เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถร่วมดูหนังได้ ซึ่งผู้พิการทางสายตาสามารถที่จะใส่หูฟัง รับฟังการบรรยาย และได้ความรู้สึกเหมือนเห็นภาพไปพร้อมกับทุกคน หรือกิจกรรมดนตรีในสวน ที่มีนักดนตรีคนพิการหรือเด็กพิเศษมาร่วมแสดงด้วย” ศานนท์กล่าว

 

ศานนท์กล่าวต่อไปว่า พื้นที่ของออทิสติก ซึ่งผู้ว่าฯ กทม. มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเข้าอกเข้าใจระหว่างคนทั่วไปกับคนพิการ เพราะคนพิการไม่ได้มีแค่วีลแชร์ แต่มี 7 ประเภท ซึ่งประกอบด้วย

 

ความพิการทางการเห็น, ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย, ความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย, ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม, ความพิการทางสติปัญญา, ความพิการทางการเรียนรู้ และความพิการทางออทิสติก

  

เราจึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจคนพิการทุกประเภท โดยอาจจะมีกิจกรรมส่งเสริมให้คนทั่วไปได้มารับรู้ร่วมกับคนพิการแต่ละประเภท ซึ่งกลุ่มออทิสติกก็เป็นกลุ่มที่เครือข่าย We Watch อยากจะจัดพื้นที่สาธารณะเพื่อมาคุยกัน และเชิญคนทั่วไปมาทำความเข้าใจ ซึ่งจะได้มีกิจกรรมต่อเนื่องกันต่อไป

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising