บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 พลิกขาดทุน 2,241.38 ล้านบาท ลดลง 367.67% จากปีก่อนที่มีกำไร 837.34 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากโควิดระบาดหนัก ส่งผลให้ต้องปิดบางสาขาตามมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายปรับเพิ่มขึ้น มั่นใจปีหน้าไตรมาสนี้ถึงต้นปีหน้าธุรกิจดีขึ้น จากการทรานส์ฟอร์มองค์กรมุ่งสู่ ดิจิทัล รีเทล
ในไตรมาส 3/64 บริษัทมีรายได้จากการขาย 37,660 ล้านบาท ลดลง 10.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยรายได้จากการขายส่วนงานแฟชั่นอยู่ที่ 8,294 ล้านบาท ลดลง 29.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสถานการณ์โควิดในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ทำให้บางสาขาที่อยู่ในพื้นที่แพร่ระบาดระดับสีแดงเข้มต้องปิดสาขาตามการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ขณะเดียวกันสาขาอื่นๆ มียอดขายลดลงจากจำนวนลูกค้าที่ลดลง แม้ยังคงเปิดทำการได้
สำหรับในอิตาลี ยอดขายยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการที่สามารถเปิดสาขาได้ตามปกติ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอิตาลีที่เริ่มฟื้นตัว
ส่วนงานฮาร์ดไลน์ อยู่ที่ 13,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรวมธุรกิจของ COL ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การเปิดสาขาใหม่ของไทวัสดุ 2 สาขา ที่อยุธยา และสงขลา และร้านค้าเฉพาะทางอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาสก่อน พบว่ายอดขายลดลงจากผลกระทบจากการปิดสาขาชั่วคราวบางสาขา เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่รุนแรงในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม แต่ความต้องการด้านซ่อมแซมและตกแต่งที่อยู่อาศัยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดยังคงเพิ่มขึ้น
ด้านงานฟู้ด เท่ากับ 16,351 ล้านบาท ลดลง 6.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนามยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ส่วนในไทย ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีมาตรการป้องกันการติดเชื้อที่เข้มงวดและกำชับให้พนักงานต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ส่วนรายได้จากการให้บริการเช่า อยู่ที่ 903 ล้านบาท ลดลง 38.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทปิดให้บริการบางสาขาทั้งในไทยและเวียดนามตามมาตรการภาครัฐ และแม้ว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ แต่บริษัทยังคงให้ความช่วยเหลือผู้เช่า โดยให้ส่วนลดค่าเช่าแก่ผู้ประกอบการบางกลุ่มที่ยังไม่สามารถดำเนินธุรกิจเป็นปกติได้ เพื่อช่วยลดผลกระทบดังกล่าวต่อร้านค้าต่างๆ ที่เช่าพื้นที่ของบริษัท
ด้านรายได้จากการให้บริการ เท่ากับ 138 ล้านบาท ลดลง 59.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบจากการปิดให้บริการชั่วคราวของศูนย์อาหารต่างๆ ตามคำสั่งตามมาตรการของภาครัฐ
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เท่ากับ 4,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายสินค้าล้าสมัยและเสียหายเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการปิดสาขาภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจ COL ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และค่าใช้จ่ายในโครงการ Buble & Seal เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2564 บริษัทมีผลขาดทุน 2,311.46 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 128.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 1,010.21 ล้านบาท
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC กล่าวว่า เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับองค์กรครั้งใหญ่ และระบบการทำงานเป็น Omni-Centric พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงานเป็นแบบ Digital First ในทุกมิติของการทำธุรกิจ ทำให้สามารถทรานส์ฟอร์มองค์กรเป็นดิจิทัล รีเทล (Digital Retail) ได้สำเร็จ ปูพรมแพลตฟอร์ม Omni-Channel ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในทั้ง 3 ประเทศ ส่งผลให้องค์กรมีความแข็งแกร่ง สามารถก้าวข้ามทุกความท้าทาย พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน
โดย 4 ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล รีเทล ประกอบด้วย 1. ดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจนในการเป็น Central to Life หรือศูนย์กลางชีวิตของผู้คน โดยยึดลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องตามเทรนด์ของผู้บริโภค
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ และปลูกฝังแนวคิดแบบ Digital First โดยได้ติดอาวุธให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลมากกว่า 50,000 คน และปรับระบบการทำงานให้เป็น Omni-Centric เพื่อมอบบริการให้แก่ Omni-Customer ในยุค 5.0 ได้อย่างดีที่สุด
- ลงทุนกว่า 31,000 ล้านบาท ในการพัฒนา Central Retail Ecosystem ที่แข็งแกร่ง และแพลตฟอร์ม Omni-Channel ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทั้ง 3 ประเทศ ทีเชื่อมทั้งออฟไลน์ และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์, Quick Commerce และ Mobile Application (Central Super App และ Tops Online), แพลตฟอร์มออฟไลน์ (Physical Store) ที่มีการขยาย ปรับปรุง และเสริมเทคโนโลยี เช่น ระบบโรโบติกส์, AI ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ทันสมัย และตรงความต้องการลูกค้า สร้างความสะดวกสบายรูปแบบใหม่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งออฟไลน์ออนไลน์ และ Social Commerce อาทิ บริการ Personal Shopper for Everyone พร้อมสร้างระบบ Smart Cashless Payment ที่ครบวงจร ผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin Wallet รวมทั้งผนวกจุดแข็งของเครือข่ายทั่วประเทศ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อสร้างระบบซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ระดับเวิลด์คลาสที่สามารถส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว
- ปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโออย่างมีกลยุทธ์ สู่ธุรกิจที่มีการเติบโตเร็วและยั่งยืน โดยกลุ่มแฟชั่นนั้นได้ปรับให้เป็น Destination ที่รวบรวมพรีเมียมแบรนด์ระดับโลก พร้อมใช้เครือข่ายของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ยุโรป เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมียมไลฟ์สไตล์ ส่วนกลุ่มฮาร์ดไลน์และฟู้ด ได้โฟกัสไปที่ตลาดแมสมากขึ้น และขยายทั้งในไทยและเวียดนาม โดยมีไทวัสดุเป็นธุรกิจเรือธงด้านฮาร์ดไลน์ที่มียอดขายคู่คี่เบอร์หนึ่งในตลาด พร้อมทั้งเปิดตัวโมเดลร้านค้าแบบ Daily Home Convenience เพื่อตอบโจทย์การใช้บริการสำหรับลูกค้าทุกคนทุกที่ทุกเวลา ผ่าน go! WOW
“เซ็นทรัล รีเทล ได้ทรานส์ฟอร์มองค์กรมาอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์และการดำเนินงานที่มีทิศทางชัดเจน ทำให้เกิดขึ้นได้จริงและประสบผลสำเร็จ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตที่ท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะโควิด ที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส (Perfect Storm, Perfect Opportunity) โดยนับจากนี้ยาวไปจนถึงปีหน้า เชื่อมั่นว่าธุรกิจจะมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่องหลังเห็นสัญญาณบวกจากการเปิดประเทศ และผลตอบรับที่ดีมากของลูกค้าที่กลับมาใช้บริการในห้างร้านของเรา โดยเห็นได้จากบรรยากาศการช้อปปิ้งที่คึกคักต้อนรับช่วงไฮซีซัน และทราฟฟิกที่กลับมาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้ เซ็นทรัล รีเทลยังเตรียมแผนเดินหน้าขยายตลาดเต็มที่ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี พร้อมปักธงสู่การเป็น ‘ดิจิทัล รีเทล’ ระดับโลกภายในปี 2568” ญนน์กล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP