จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 75 ปีแล้วที่ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ก่อตั้งขึ้นมา
ภาพในวันแรกคือการเป็น ‘ร้านหนังสือเล็กๆ’ ที่ก่อตั้งโดย ‘เตียง และ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์’ บริเวณถนนเจริญกรุง สำหรับจำหน่ายหนังสือและนิตยสารที่มีทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนสินค้าอื่นๆ
หลังจากนั้นธุรกิจเล็กๆ ก็ได้เติบโตแตกแขนงเป็นต้นไม้ใหญ่ และก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ค้าปลีกที่ไม่ได้มีแค่ในไทยเท่านั้น แต่ก้าวไกลถึงระดับโลกด้วย
สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลไม่ว่าธุรกิจจะเติบใหญ่ไปมากเพียงใด แต่สิ่งที่เป็นหัวใจหลักไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือ ‘ธุรกิจห้างสรรพสินค้า’ ธุรกิจอันเป็นรากเหง้าสำคัญ ซึ่งตอนนี้ได้ขยับขึ้นมาเป็น ‘ผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลก’ เรียบร้อยแล้ว ด้วยเครือข่ายของห้างสรรพสินค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมถึง 11 ประเทศ 80 เมือง 120 สาขา และห้างแฟลกชิปหรู 16 แห่ง ในหัวเมืองหลักของยุโรปและเอเชีย
‘ลักชัวรี’ เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล
ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล เล่าย้อนความหลังว่า กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้ริเริ่มการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครสำหรับลูกค้าตั้งแต่เริ่มกิจการ กลุ่มบริษัทเป็นผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นผู้สร้างห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจศูนย์การค้าครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย
ก่อนจะขยับขยายธุรกิจในภูมิภาคยุโรปและตลาดลักชัวรีรีเทล โดยเริ่มต้นจากการเข้าซื้อกิจการห้างรีนาเชนเต ในปี 2554 ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 9 สาขาทั่วประเทศอิตาลี ตามด้วยการเข้าซื้อกิจการห้างอิลลุม ประเทศเดนมาร์ก ในปี 2556
นอกจากนั้นกลุ่มเซ็นทรัลยังได้ร่วมทุนกับซิกน่าในการเข้าซื้อกิจการกลุ่มคาเดเว ที่มีห้างสรรพสินค้า 3 แบรนด์ ได้แก่ คาเดเว, โอเบอร์โพลลิงเกอร์ และ อัลสเตอร์เฮาส์ ประเทศเยอรมนี ในปี 2558 อีกทั้งยังร่วมกันเข้าซื้อกิจการห้างโกลบุส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2563
และในปี 2565 ได้ร่วมกันซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจสที่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า 18 แห่ง ได้แก่ เซลฟริดเจส ในอังกฤษ, ห้างสรรพสินค้าดีแบนคอร์ฟ ในเนเธอร์แลนด์ และห้างสรรพสินค้าบราวน์ โธมัส และ อาร์นอตส์ ในไอร์แลนด์
“ลักชัวรีเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล เริ่มจากการเข้าซื้อกิจการห้างรีนาเชนเต ซึ่งสอดคล้องกับจังหวะที่แบรนด์ลักชัวรีของยุโรปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยกระแสของการท่องเที่ยวทั่วโลก” แม่ทัพกลุ่มเซ็นทรัลกล่าว
“ถึงแม้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนในระยะที่ผ่านมา แต่ตลาดลักชัวรีได้แสดงศักยภาพสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการผู้บริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
Luxury Goods Market กำลังกลับมาเติบโตเป็นรูปตัว V
คำพูดของทศถูกยืนยันด้วยรายงานของ Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโกลบอลสัญชาติอเมริกัน ที่เผยว่า Luxury Goods Market กำลังกลับมาเติบโตเป็นรูปตัว V โดยมีมูลค่ามากถึง 2.88 แสนล้านยูโร หรือกว่า 10.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562
Luxury Goods Market ในปี 2565 ได้เริ่มต้นอย่างแข็งเกร่งโดยมีสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นผู้นำการเติบโต ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกภาพรวมได้เติบโตราว 17-19% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564
Bain & Company ขยายความว่า ในยุโรปกำลังเห็นการเล็งฟื้นตัวของ Luxury Goods Market ซึ่งกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะฟื้นคืนสู่ระดับปี 2562 อันมาจากมุมมองของผู้บริโภคที่ปรับตัวใช้ชีวิตอยู่กับโรคระบาด นอกจากนี้ตลาดลักชัวรีในสหรัฐอเมริกากำลังประสบกับการเติบโตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากแบรนด์ลักชัวรีได้ค้นพบศักยภาพที่แท้จริงของฐานลูกค้าชาวอเมริกัน
สถานการณ์ที่ดีขึ้นนี้เองทำให้ Bain & Company ประเมินว่า Luxury Goods Market จะเติบโตได้ราว 10-15% จากปี 2564 และมีมูลค่าอยู่ที่ 3.2-3.3 แสนล้านยูโร และกำลังเติบโตไปสู่ระดับ 3.6-3.8 แสนล้านยูโร ภายในปี 2568
จุดหมายแห่ง ‘การช้อปปิ้ง’ ที่โดดเด่น
ความสำเร็จของกลุ่มเซ็นทรัลเกิดจากการลงมือทำที่จริงจัง ในรอบสิบปีที่ผ่านมากลุ่มเซ็นทรัลได้สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับแบรนด์ลักชัวรียักษ์ใหญ่หลากหลายแบรนด์ ซึ่งได้มีการร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ตลอดมา เพื่อพัฒนาห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัลให้เป็นจุดหมายแห่งการช้อปปิ้งที่โดดเด่น ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน
“ปัจจุบันห้างในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลต้อนรับลูกค้ากว่า 130 ล้านคนต่อปี กว่า 200 เชื้อชาติ และมีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในธุรกิจลักชัวรีของกลุ่มเรา”
ทศกล่าวต่อว่า ด้วยการเข้าซื้อกิจการ รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดลักชัวรีและยุโรปกลายเป็นโฟกัสสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล โดยมีทีมบริหารระดับสูงทำงานอยู่ทั่วยุโรป
พัฒนาและขยายห้างสรรพสินค้าที่มีเอกลักษณ์ในเมืองท่องเที่ยว
อย่างที่บอกไปว่า ‘ลักชัวรีเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล’ และด้วยวิสัยทัศน์ที่จะนำธุรกิจรีเทลของไทยไปสู่ระดับโลก และมีส่วนร่วมในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับสังคม กลุ่มเซ็นทรัลมีความมุ่งมั่นในการยกระดับชุมชนโดยรอบผ่านนวัตกรรม และการพัฒนาพื้นที่โดยรอบในทุกพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้วางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ลักชัวรีที่จะมาใน 2 ด้าน ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1. พัฒนาและขยายห้างสรรพสินค้าที่มีเอกลักษณ์ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญด้วยการร่วมมือกับลักชัวรีแบรนด์
การพัฒนาแปลงโฉมห้างสรรพสินค้าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินการในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น LVMH, Kering และ Richemont เพื่อยกระดับและเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เน้นการตกแต่งคุณภาพสูงของห้างและร้านค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า
โดยแต่ละห้างได้ถูกออกแบบให้แสดงถึงเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง เพื่อให้คนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชม นอกจากนี้แต่ละห้างยังมีสินค้าอาหารระดับพรีเมียมและมีร้านอาหารหลากหลายไว้บริการ ซึ่งผู้มาเยือนสามารถสัมผัสความพิเศษเหล่านี้ในโฉมใหม่ของห้างคาเดเวในเบอร์ลิน ห้างรีนาเชนเตในมิลานและโรม และห้างโกลบุสในซูริก ที่ได้ถูกปรับปรุงและพัฒนาไปเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ว่าจะเป็น
- ห้างคาเดเว เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี – โซนลักชัวรีและเครื่องประดับในชั้น Ground ได้ถูกปรับปรุงอย่างเสร็จสิ้นแล้วในปีนี้ หลังจากเปิดโถงบันไดเลื่อนที่ลงทุนสร้างใหม่หมดในเดือนตุลาคม 2564 โดยห้างคาเดเวเป็นห้างที่มีลักชัวรีแบรนด์ที่ครบครันที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ละแบรนด์ล้วนลงทุนสร้างร้านค้าด้วยคอนเซปต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
- ห้างโกลบุส ซูริก เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ – ตั้งแต่ปี 2564 ร้านแฟลกชิปที่ซูริกได้เริ่มการปรับโฉมให้กลายเป็นห้างหรู และได้มีการนำแบรนด์ลักชัวรีดัง และคอนเซปต์ใหม่ของสินค้าตกแต่งบ้านและอาหารมานำเสนอเป็นครั้งแรก และการปรับปรุงในรูปแบบนี้จะต่อเนื่องไปที่ชั้นอื่นๆ โดยโกลบุสที่เจนีวาจะเข้าสู่โปรแกรมการพัฒนาเช่นเดียวกันในปี 2566
- ห้างรีนาเชนเต มิลาน ดูโอโม่ ประเทศอิตาลี – ปรับปรุงพื้นที่ชั้นผู้ชายชั้นสองให้กลายเป็นชั้นสินค้าผู้ชายอย่างครบวงจร ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า โดยจะปรับปรุงให้มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น
- ห้างรีนาเชนเต โรม ฟิอูเม่ ประเทศอิตาลี – ปรับปรุงโฉมใหม่ด้านหน้าของตัวห้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 โดยได้เก็บรักษาสถาปัตยกรรมดั้งเดิมซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีชื่อดัง Franco Albini
นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่ที่กำลังถูกพัฒนาและที่อยู่ระหว่างการศึกษาในขณะนี้ ได้แก่
- คาร์ช เฮาส์ (Carsch-Haus) ดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี – ดำเนินการปรับปรุงตึกคาร์ช เฮาส์ ให้เป็นห้างหรูใจกลางเมืองดุสเซลดอร์ฟ จุดเด่นของโครงการนี้ประกอบไปด้วยการขุดจัตุรัสเมืองบริเวณข้างหน้าห้างเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่รีเทลชั้นใต้ดินที่โดดเด่น ซึ่งจะมีร้านค้าแบรนด์ดังหลากหลายเข้าร่วม และบนระเบียงชั้นสูงจะมีร้านอาหารขนาดใหญ่ให้บริการ ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะเปิดตัวภายในปี 2566
- เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย – ห้างหรูแห่งแรกของเมืองเวียนนา บวกกับโรงแรมทอมป์สัน และพื้นที่สีเขียวสวยงามบนหลังคาตึก ซึ่งโครงการนี้ถูกออกแบบโดย OMA ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2567
- โกลบุส บาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ – เป็นการพัฒนาตึกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งอยู่ที่มาร์กแพลตซ์ (Markplatz) ณ ศูนย์กลางของเมืองบาเซิล ให้กลายเป็นห้างหรูที่คงไว้ซึ่งความสวยงามที่เป็นมรดกดั้งเดิม โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2568
- เซลฟริดเจส ลอนดอน – ในบริเวณของห้างแฟลกชิปประกอบไปด้วยโรงแรม อาคารจอดรถ และถนนเส้นเล็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินเพื่อเปิดโรงแรมหรือทำธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งพื้นที่กลางแจ้งสำหรับกิจกรรมต่างๆ
ขึ้นแท่นผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
กลยุทธ์ที่ 2. ขึ้นแท่นผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และเป็นพันธมิตรคู่ค้าที่มีเครือข่ายทั่วโลกให้กับแบรนด์ลักชัวรีและแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ
ปัจจุบันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรปมียอดจำนวนผู้มาเยือนกว่า 30 ล้านคนต่อเดือน มีการจัดส่งสินค้าไปยังกว่า 130 ประเทศทั่วโลก และสร้างยอดขายได้ถึง 1 พันล้านยูโร (3.8 หมื่นล้านบาท) ต่อปี คิดเป็น 17% ของยอดขายทั้งหมด
ซึ่งยอดขายออนไลน์ในต่างประเทศของ Selfridges.com มีสัดส่วนสูงถึง 40% สะท้อนถึงการมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกที่แข็งแกร่ง เทียบได้กับคู่แข่งที่ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ
ดังนั้นกลุ่มเซ็นทรัลได้วางยุทธศาสตร์ให้ Selfridges.com เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ลักชัวรีระดับโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยเน้นใช้จุดแข็ง ดังนี้
- แบรนด์เซลฟริดเจส ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักดีทั่วโลก
- แบรนด์และสินค้า พร้อมคอลเล็กชันพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากทุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำในเครือ
- เทคโนโลยีล้ำสมัยและฐานข้อมูลลูกค้า ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์และมอบบริการให้ลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคล
- เครือข่ายห้างสรรพสินค้าใน 11 ประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์และเข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงให้บริการแบบ Omni-Channel ที่แตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่งอีคอมเมิร์ซทั่วไป โดยเฉพาะในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฐานการดำเนินธุรกิจหลักของกลุ่มเซ็นทรัล ลูกค้าของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศไทยจะสามารถเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ลักชัวรีและคอลเล็กชันที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นผ่านช่องทางนี้
เรียกว่าเป็นการมองการณ์ไกลของกลุ่มเซ็นทรัล เพราะรายงานของ Financial Times ระบุว่า ตอนนี้ช่องทางออนไลน์กำลังมาแรง โดยการขายสินค้าลักชัวรีได้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 12% เป็น 22% ในช่วงการแพร่ระบาด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ภายในปี 2568
กลุ่มเซ็นทรัลยังได้สร้างความแตกต่างด้วยการให้สมาชิก The 1 ซึ่งปัจจุบันสามารถสะสมแต้มและได้รับข้อเสนอพิเศษต่างๆ เมื่อช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต, อิลลุม และคาเดเว ยังจะสามารถรับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบเดียวกันที่ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจสและห้างสรรพสินค้าอื่นๆ ในยุโรปภายใต้กลุ่มเซ็นทรัลได้เร็วๆ นี้
โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้ย้ำถึงการเดินหน้ารังสรรค์สิทธิพิเศษและประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อเตรียมมอบให้กับสมาชิก The 1 Exclusive ที่ไปช้อปปิ้งในยุโรปอีกด้วย
ย้ำภาพ Central of Life
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลประเมินว่าในปี 2565 จะมียอดขายกว่า 6.7 พันล้านยูโร หรือ 2.6 แสนล้านบาท
ทศกล่าวต่อว่า บนเส้นทางกว่า 75 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของกลุ่มเซ็นทรัลมีพื้นฐานมาจากความมุ่งมั่นในการเลือกสรรและนำเสนอประสบการณ์ บริการ และสินค้า ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกคน
โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้มีโอกาสในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังมีทีมงานที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่ทั่วโลก ซึ่งช่วยผลักดันให้ห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัลเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการใช้ชีวิต หรือ ‘Central of Life’
กลุ่มเซ็นทรัลยังมีเป้าหมายในการนำพาชุมชนในทุกเมืองที่เข้าไปทำธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาและยกระดับพื้นที่โดยรอบของห้างสรรพสินค้า การสร้างงานและอาชีพ การรักษาไว้ซึ่งมรดกทางประวัติศาสตร์ของแต่ละอาคาร โดยกลุ่มเซ็นทรัลภาคภูมิใจอย่างมากในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันโดดเด่นถึง 19 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 1 ศตวรรษ และล้วนตั้งอยู่บนทำเลเด่นใจกลางเมืองสำคัญของยุโรป เช่น ลอนดอน, ซูริก, โรม, โคเปนเฮเกน, ดับลิน และ เวียนนา
“กลุ่มเซ็นทรัลรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในเวทีระดับโลก และขอเชิญชวนลูกค้าเซ็นทรัลทุกคนมาร่วมเดินทางสู่การเติบโตก้าวต่อไปพร้อมๆ กัน” ทศกล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง: