วันนี้ (15 กุมภาพันธ์) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงภาพรวมของการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 วันแรกว่า มีทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม และให้คำแนะนำ ซึ่งรัฐบาลได้ตอบไปแล้วตามความเหมาะสม
แต่ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่ตนเป็นประธานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่บอกว่าไม่ลงนามในงบประมาณส่งเสริมสุขภาพในส่วนที่นอกเหนือจากสิทธิบัตรทองนั้น ได้ชี้แจงไปชัดเจนแล้วว่าต้องมีขั้นตอนที่ลงนาม ไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ในทางตรงข้ามกลับทำให้เกิดความโปร่งใส และการให้บริการประชาชนก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ทุกคนยังสามารถเบิกงบได้ไม่ว่าจะอยู่ในสิทธิใดก็ตาม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การอภิปรายไม่ส่งผลกระทบใดๆ ใช่หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยในฐานะที่กำกับดูแล 3 กระทรวงหลัก ทั้งสาธารณสุข คมนาคม และการท่องเที่ยวและกีฬา เราทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมยกตัวอย่างผลงานของกระทรวงสาธารณสุข เปิดประเทศได้ ประชาชนมีวัคซีน มีภูมิคุ้มกัน ฟอกไต-รักษามะเร็งฟรีทั้งประเทศ เป็นประเทศที่มีระบบระดับต้นๆ ของโลก
ขณะที่กระทรวงคมนาคม ระบบขนส่งทั้งบก น้ำ อากาศ ทำอย่างเต็มที่ ส่วนกระทรวงท่องเที่ยวฯ มีนักท่องเที่ยวมากมาย พรรคภูมิใจไทยทำหน้าที่ที่ควรจะทำอย่างเต็มความสามารถ ข้อมูลของฝ่ายค้านอาจดูเก่า หากสังเกตจะพบว่าเป็นข้อมูลที่กล่าวว่า ‘เชื่อได้ว่า’ หรือ ‘อย่างที่เห็นว่า’ ซึ่งเป็นเวิร์บทูเดา มันไม่ใช่เวิร์บทูบี จึงคิดว่าเราต้องเอาความจริงหรือสิ่งที่เป็นหลักฐานมาให้คำแนะนำ โดยเฉพาะคำแนะนำว่าเราทำไม่ดี ก็ควรจะมีคำแนะนำ และแก้ไขอย่างไร ไม่ใช่มาตะโกนโหวกเหวก มันไม่ใช่เรื่อง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้ทำก่อนรัฐบาลหมดวาระ อนุทินกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยส่งการบ้านครบ เรื่องของกัญชาได้ปลดล็อกไปแล้ว ร่างกฎหมายในวาระ 1 ไปแล้ว ส่วนวาระ 2-3 ที่ยังไม่ผ่านนั้น ไม่ใช่เพราะพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในส่วนนี้เป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม หลังเลือกตั้งหากได้กลับเข้ามาอีกก็จะผลักดันกฎหมายกัญชาต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เป้าหมายของพรรคภูมิใจไทยคือต้องกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งใช่หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า เป็นอะไรก็ได้ แต่ขอเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นผู้แทนของประชาชนก่อน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หลายพรรคการเมืองเริ่มจับมือตั้งรัฐบาลก่อนการเลือกตั้ง อนุทินกล่าวว่า “ในช่วงที่ผมเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผมเห็นว่าคนที่ทำแบบนี้ยังไม่สำเร็จสักที ผูกก่อน จับก่อน ตายก่อน คนที่พูดก่อนคือไปก่อนทุกที”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สามารถตอบได้หรือไม่ว่าพรรคของ พล.อ. ประยุทธ์คือเบอร์หนึ่งในใจที่จะตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ขอไม่พูดถึงคนอื่น ตอนนี้ขอทำตามที่ตั้งใจไว้ให้ดีที่สุด เร่งหาเสียง เสนอนโยบายให้ประชาชนพิจารณา และไว้วางใจกับพรรคภูมิใจไทยให้มากที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ. ประยุทธ์ได้ส่งสัญญาณการยุบสภาหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า “ไม่มี วันนี้เขาไม่พูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว ต่อให้ยุบหรือไม่ยุบก็เหลือเวลาเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคภูมิใจไทยได้รับกระแสตอบรับอย่างไรบ้าง อนุทินกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยได้กระแสตอบรับที่ดี ผู้สมัครของพรรคในพื้นที่ กทม. มีการชักชวนให้ตนเองไปปราศรัยย่อยหลายครั้ง ได้เห็นถึงการตอบรับที่ดีมากๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้เราได้เห็นปัญหาในพื้นที่มากขึ้น พร้อมคิดว่าหากเราได้ ส.ส. จะทำให้พรรคภูมิใจไทยทำอะไรให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อีกมาก
อนุทินกล่าวทิ้งท้ายว่า ผลของการเลือกตั้งคือประกาศิตของประชาชนที่จะสามารถสั่งให้พรรคภูมิใจไทยจะต้องทำอะไร พร้อมมั่นใจว่าภูมิใจไทยจะมีบ้านที่ใหญ่ขึ้นกว่าการเลือกตั้งในปี 2562 เราเดินทางร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ได้รับการตอบรับจากประชาชน ซึ่งเป็นหนังคนละม้วนกับปี 2562 ส่วนการเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตนเองไม่สามารถเลือกตัวเองได้ ถ้าเลือกตัวเองได้ค่อยว่ากัน ผลเลือกตั้งออกมาอย่างไรนั่นคือคำสั่งของประชาชน
