วันนี้ (15 กุมภาพันธ์) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ โดยมี ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาคนที่ 2 เป็นประธาน
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวอภิปรายหลังจาก จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปฝ่ายค้าน กล่าวอภิปรายถึงประเด็นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เป็นคนป่วยของภูมิภาค เกิดปัญหาจากรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ว่าได้รับฟังมาตั้งแต่เช้าแล้ว มีหลายคนได้แสดงความคิดเห็น ทั้งแนะนำ กล่าวหา และตักเตือน หลายอย่างที่มีการอภิปรายโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจผ่านการทำมาหมดแล้ว แต่ยังไม่เกิดผล แต่ได้นำมาตีกิน เวลารัฐบาลพูดก็ไม่ฟัง กระทรวงการคลัง หน่วยงานราชการชี้แจงก็ไม่ฟัง ส่วนเรื่องนโยบายต่างๆ ก็ขอให้ได้เป็นรัฐบาลแล้วมาทำ
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนนั้น รัฐบาลมีการดูแลประชาชนตั้งแต่ฐานรากจนถึง SMEs วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้าน ประชาชนที่มีรายได้น้อย รัฐบาลได้แก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า ให้ลองกลับไปศึกษา ถ้าทำได้คงทำไปนานแล้ว ตอนที่เป็นรัฐบาลก็ทำไม่ได้ เรื่องการทำทุจริตผิดกฎหมาย กระทบกระบวนการทางกฎหมาย การที่นำชื่อของตนเองไปโยงคนนั้นคนนี้ ญาติคนนั้นคนนี้ ครอบครัวตน ยืนยันว่าไม่เคยเอื้อประโยชน์ให้แก่ใคร ขอให้ไปตรวจสอบมา
พล.อ. ประยุทธ์อภิปรายอีกว่า สมัยก่อนไม่เห็นพูดเก่งแบบนี้เลย สมัยที่เป็นรัฐบาลกัน เรื่องทุจริตไม่เห็นมีการพูดกันสักคำ ต่อไปนี้จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจง ไม่อยากจะทำให้เสียบรรยากาศ เพราะเพิ่งผ่านช่วงเวลาของวันวาเลนไทน์มา ฟังตั้งแต่เช้าเรื่องที่ดีๆ ก็จดไว้และก็รับไว้ แต่หลายเรื่องที่ไม่ตรงและไม่ถูกต้องก็ต้องให้โอกาสชี้แจง ไม่เช่นนั้นฝ่ายค้านจะถือโอกาสในเวทีอภิปรายในการหาเสียง
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวอีกว่า คนเราต้องมีมารยาท หลายอย่างเป็นปัญหาในเชิงกฎหมาย ทุกอย่างมีหลักการ ไปตรวจสอบมาก่อนกล่าวอ้าง ไม่เคยปล่อยปละ ละเว้น อย่าก้าวล่วงอำนาจ การพูดตรงนี้ทำให้คนข้างนอกได้ยิน ทำให้คนนี้คนนั้นถูก-ผิดไปแล้ว ให้เคารพกระบวนการยุติธรรมด้วย ไม่อยากให้ฝ่ายนิติบัญญัติไปก้าวล่วงอำนาจบริหารมากจนเกินไป เพราะคนละอำนาจกัน แต่บางอย่างเป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าไม่ดีก็ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ไม่ใช่ติติงพูดจาเสียหายแบบนี้ บางอย่างตนรับไม่ได้