×

บันทึกภาพและเรื่องราว ‘วัยเด็ก’ ของคนดังที่จะทำให้ได้อมยิ้มในวันเด็ก 2019

12.01.2019
  • LOADING...

บรรยากาศวันเด็กนั้นอบอุ่นสนุกสนานอยู่เสมอ โดยในปีนี้เราชวนไปอินกับบรรยากาศภาพวัยเด็กของเหล่าคนดัง พร้อมด้วยเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในวันที่ทุกคนยังเป็นเพียงเด็กน้อยดวงตาสดใส ก่อนจะถึงช่วงเวลาที่ทำให้ผู้คนได้หลงรักและชื่มชมอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

 

 

Brad Pitt (1963)

ดวงตาที่ลืมขึ้นพร้อมเสียงร้องไห้ของ วิลเลียม แบรดลีย์ พิตต์ ในวันที่ 18 ธันวาคม 1963 นั้นได้สร้างรอยยิ้มให้กับ วิลเลียม อัลวิน พิตต์ และเจน แอตตา พิตต์ สองสามีภรรยาที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัวของตัวเอง

 

ขณะเดียวกันที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐมิสซูรี เมืองเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขา เนินเล็กเนินน้อย และทะเลสาบ ชีวิตวัยมัธยมของหนุ่มน้อยที่ต่อมาจะกลายเป็นนักแสดงขวัญใจของคนทั่วโลกดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเด็กอเมริกันคนอื่นๆ

 

แต่ถ้าสังเกตอย่างลึกซึ้ง เรากลับพบผลงานมากมายที่ล้วนแล้วแต่ถูกจดจำในระดับตำนานแห่งยุค 90s เช่น A River Runs Through It (1992), Legends of the Fall, Seven (1995), 12 Monkeys (1995), Seven Years in Tibet (1997), Fight Club (1999), Snatch (2000) นั้นล้วนแล้วแต่มีจุดร่วมบางอย่างที่ทำให้นึกถึงต้นกำเนิดของ วิลเลียม แบรดลีย์ พิตต์ ผู้เติบโตมาในเมืองแห่งเนินเขาและทะเลสาบ เมืองที่ได้สร้าง ‘ชายหนุ่ม’ ผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงพลังวัยหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยความกล้า สิ่งเหล่านี้เองได้กลายเป็นเสน่ห์สำคัญที่เชื่อมโยงเขาให้เข้าถึงผู้คนทั่วโลก

 

 

Johnny Depp (1963)

ช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 1963 ในเมืองโอเวนส์โบโร รัฐเคนทักกี มันวันคือวันเกิดของลูกชายคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 4 คนผู้เต็มไปด้วยวีรกรรมโลดโผน ซุกซน จอห์นนี เดปป์ จึงมักจะมีวีรกรรมเจ็บๆ แสบๆ ประเภทชกต่อยกับเด็กคนอื่นๆ หรือทำเรื่องแผลงๆ อยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นกลายเป็นเรื่องแสนพิเศษก็คือ ‘ดนตรี’

 

ดนตรีเป็นเสาเข็มแห่งชีวิตต้นแรก นอกจากนั้นมันยังเป็นรากฐานที่ทำให้ชีวิตของเขาเดินทางไปข้างหน้าได้อย่างเข้ารูปเข้ารอย เดปป์เริ่มต้นหลงใหลในดนตรีมาตั้งแต่อายุ 12 ปี หลังจากที่ได้ของขวัญวันเกิดเป็นกีตาร์มือสองราคา 25 เหรียญจากผู้เป็นแม่ กระทั่งเข้าสู่ช่วงอายุ 15 หลังจากผ่านการเสพยาเสพติดมาแล้วแทบทุกชนิดและต้องหยุดเรียนไปถึง 2 ครั้ง เวลานั้นเองที่เขาได้รับคำแนะนำจากครูที่โรงเรียนให้ก้าวเดินออกไปใช้ชีวิตตามความฝันด้วยการเป็น ‘นักดนตรี’

 

ถึงแม้ว่าในที่สุด อย่างที่เรารู้ๆ กันว่าโชคชะตาได้นำพาเขาให้ได้ก้าวสู่เส้นทางสายการแสดง แต่ถึงอย่างไรก็อย่างนั้น เขาก็ยังคงรักในการเล่นดนตรี และยังคงเล่นดนตรีควบคู่กับพร้อมกับงานแสดงเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

 

 

Keanu Reeves (1964)

แม้ว่า คีอานู ชาร์ลส์ รีฟส์ จะมีคุณแม่เป็นชาวอังกฤษ ส่วนคุณพ่อเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายฮาวาย จีน โปรตุเกส และอังกฤษ แต่ชีวิตของเขากลับถือกำเนิดที่กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน และเติบโตไปจนถึงการเริ่มต้นเส้นทางสายการแสดงเป็นครั้งแรกที่ประเทศแคนาดา

 

ขณะเดียวกันชื่อเท่ๆ ที่ฟังดูแปลกหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นมาจากภาษาฮาวาย หมายถึง ลมเย็นที่พัดเหนือภูเขา ซึ่งเมื่อเข้าใจคำแปล น่าแปลกเหมือนกันที่เรารู้สึกว่าช่างเข้ากับตัวตนและคาแรกเตอร์ของรีฟส์ได้อย่างลงตัว

 

 

Scarlett Johansson (1984)

สาวน้อยผู้มีเชื้อสายโปแลนด์-เดนมาร์ก สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน คือหนึ่งในนักแสดงที่ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองตั้งแต่เด็ก โดยเธอมีโอกาสโชว์ฝีมือทางการแสดงบนเวทีเรื่อง Sophistry ตั้งแต่อายุเพียง 8 ปี

 

กระทั่งเติบโตถึงวัย 11-12 ปี สการ์เล็ตต์ก็เริ่มมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์ Just Cause (1995) และ Manny & Lo (1996) ก่อนที่บทบาทสุดเข้มข้นใน The Horse Whisperer จะส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัล Chicago Film Critics Association Award สาขา Most Promising Actress เป็นครั้งแรก

 

แต่จุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญจริงๆ ของเธอคือบทบาท ชาร์ลอตต์ ในภาพยนตร์ Lost in Translation (2003) ของโซเฟีย คอปโปลา ที่ส่งให้สาวสวยวัย 19 ปีซึ่งกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แรกแย้มในเวลานั้นได้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

 

 

Ryan Gosling (1980)

ถึงแม้ว่าชีวิตในวัยเด็ก ไรอัน กอสลิง จะเติบโตมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายมอรมอนอย่างเคร่งครัด แถมความทรงจำวัยเด็กของเขายังมักจะโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆ และเขาก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลยจนกระทั่งถึงอายุ 14-15 ปี

 

จะว่าไปจุดเปลี่ยนของชีวิตวัยเด็ก …หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตของเขา คือการที่โชคชะตาก็ได้นำพาให้ไรอันได้เริ่มต้นทำความรู้จักกับเส้นทางบันเทิงและโลกแห่งการแสดง เมื่อเขาผ่านการออดิชันและได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของรายการวาไรตี้โชว์ชื่อ The Mickey Mouse Club ของ Disney Channel ในช่วงอายุ 12 ปี ร่วมกับเหล่าเด็กๆ ที่ต่อมาได้กลายเป็นป๊อปสตาร์และไอคอนแห่งยุค เช่น บริตนีย์ สเปียร์ส, คริสตินา อากีเลรา ฯลฯ และสำคัญที่สุดคือ จัสติน ทิมเบอร์เลก ที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กคนแรกๆ ของเขา

 

ความแตกต่างเดียวของไรอันกับเพื่อนๆ ร่วมรายการที่โด่งดังมาพร้อมกันจาก Disney Channel คือเส้นทางที่เลือกเดิน เพราะขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นเลือกเส้นทางสายดนตรีและทีนไอดอล แต่หนุ่มน้อยไรอันกลับเลือกที่จะไปต่อในเส้นทางสายการแสดง ซึ่งการจะฝ่าฟันและพิสูน์ตัวเองให้เป็นที่จดจำและยอมรับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

 

Britney Spears (1981)

“ฉันอยู่ในโลกของฉัน ฉันค้นพบสิ่งที่ฉันรักที่จะทำตั้งแต่ยังเด็ก”

 

บริตนีย์ จีน สเปียร์ส ที่ต่อมาได้กลายเป็นนักร้องเพลงป๊อประดับทีนไอคอนให้ยุค 90s ได้บอกเล่าถึงตัวเองในช่วงวัยเด็กไว้อย่างนั้น และนั่นเองที่สะท้อนว่าชีวิตของเธอนั้นแตกต่างและห่างไกลจากเด็กอเมริกันในวัยเดียวกันอย่างที่ยากจะจินตนาการ

 

บริตนีย์ค้นพบความสามารถทั้งด้านการร้องและเต้นมาตั้งแต่อายุ 5 ปี เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกในรายการ The Mickey Mouse Club ของ Disney Channel ในช่วงวัย 11 ปี จนกระทั่งรายการปิดตัวลงในปี 1994 บริตนีย์กลับไปใช้ชีวิตอย่างเด็กนักเรียนธรรมดาอยู่ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ด้วยเพราะพลังความสามารถของเธอนั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าที่หยุดอยู่แค่ที่บ้านเกิดในรัฐลุยเซียนา ในที่สุดเธอก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้ม Baby One More Time ในปี 1999 และจุดนั้นนั้นเองที่สาวน้อยวัย 18 ปีทำให้ผู้คนได้รู้จักและเต้นตามเพลงของเธอไปทั่วโลก  

 

 

Dakota Fanning (1994), Elle Fanning (1998)

ถ้าบอกว่า ฮานนาห์ ดาโกตา แฟนนิง และแมรี แอล แฟนนิง คือนักแสดงคู่พี่น้องที่โด่งดังและถูกชื่นชอบมากที่สุดในเวลานี้ก็คงไม่ผิด และแม้ว่าดอกไม้สองดอกนั้นกำเนิดขึ้นจากผืนดินแปลงเดียวกัน (แถมทั้งคู่ยังเคยแสดงเป็นตัวละครเดียวกันคือ ลูซี่ ในภาพยนต์ดราม่าเรื่องเยี่ยม I Am Sam ในปี 2001) แต่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือเธอทั้งคู่นั้นต่างก็เติบโตและผลิบานบนเส้นทางสายการแสดงในทิศทางของตัวเอง

 

พี่สาวอย่างดาโกตานั้นแจ้งเกิดและมีชื่อเสียงในวงการมาก่อน แถมเธอยังได้รับการยกย่องในฐานะนักแสดงอายุน้อยที่สุดที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild Awards

 

ด้านน้องสาวอย่าง แอล แฟนนิง เธอเองค่อยๆ เติบโต สะสวย และพัฒนาศักยภาพของตัวเองด้วยผลงานอย่าง Super 8 (2011), Phoebe in Wonderland (2008), Maleficent (2014), 20th Century Women (2016), The Neon Demon (2016), The Beguiled (2017) และ Teen Spirit ในปี 2018 และนั่นเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าดอกไม้แต่ละดอกนั้นล้วนแล้วแต่มีช่วงเวลาที่จะสวยงามและผลิบานตามแบบฉบับของตนเอง

 

 

Millie Bobby Brown (2004)

นับตั้งแต่เปิดตัวในบทบาทเด็กสาวพลังจิตพร้อมกับทรงผมสกินเฮดใน Stranger Things แฟนซีรีส์และผู้คนทั่วโลกก็ค่อยๆ จดจำและชื่นชอบ มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะเดียวกันชื่อเสียงและความโด่งดังที่กระหน่ำเข้าใส่เด็กสาววัย 13 ปีซึ่งผ่านการเสนอเข้าชิงรางวัล Outstanding Supporting Actress in a Drama Series ใน Emmy Awards แถมล่าสุดเธอกำลังจะมีผลงานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกคือ Godzilla: King of the Monsters ในช่วงกลางปีนี้ก็ทำให้หลายคนเป็นห่วงว่าจะทำให้เธอสูญเสียธรรมชาติของความเป็นเด็กเหมือนอย่างที่เหล่าดาราเด็กในวงการบันเทิงหลายต่อหลายคนเคยประสบมาแล้วหรือเปล่า

 

แต่บอกเลยว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะครอบครัวของเธอนั้นใส่ใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี และพยายามอย่างยิ่งที่จะประคับประคองสติให้เธอยังคงโฟกัสกับมิตรภาพรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นกับครอบครัว เพื่อน โรงเรียน เหมือนอย่างที่เด็กๆ คนอื่นควรจะได้ใช้ชีวิตควบคู่ไปพร้อมๆ กับงานแสดงในแวดวงบันเทิง

 

 

Emma Watson (1990)

เส้นทางสายการแสดงของ เอ็มมา ชาร์ลอตต์ ดูแอร์ วัตสัน เริ่มต้นขึ้นหลังจากผ่านการคัดเลือกเป็นนักแสดงใน Harry Potter ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่สร้างจากหนังสือขายดีของ เจ. เค. โรว์ลิง ซึ่งบทบาทของ เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ แห่งบ้านกริฟฟินดอร์นั้นโดดเด่นตั้งแต่ภาคแรกจนกระทั่งจบถึงภาคสุดท้าย โดยกินเวลาตลอด 10 ปี (2001-2011) และตลอดช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเองที่ทำให้ผู้ชมผูกพันทั้งกับบทบาทในภาพยนตร์ ชื่อเสียง ไปจนถึงพัฒนาการของชีวิต

 

จากเด็กหญิงวัยใสอายุเพียง 11 ปีใน Harry Potter and the Philosopher’s Stone (2001) กระทั่งเติบโตเป็นสาวเต็มตัวใน Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2 ซึ่งเข้าฉายในปี 2011  

 

สิ่งที่เราได้เห็นแง่มุมเพิ่มเติมจากเอ็มมาคือการเติบโตเป็นเด็กสาวที่มีอะไรมากกว่าฝีมือการแสดงและหน้าตาที่สะสวยชวนมอง เพราะสิ่งที่เดินไปคู่กันคือเรื่องราวของมันสมองอันชาญฉลาด รวมถึงแง่มุมทางจิตใจที่เธอแสดงออกผ่านกิจกรรมทางสังคม โดยเฉพาะด้านสิทธิสตรี โดยในปี 2014 เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีขององค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ และช่วยริเริ่มโครงการรณรงค์ฮีฟอร์ชี (HeForShe) ที่รณรงค์ให้ผู้ชายสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ

 

และล่าสุดกับโครงการ Books on the Underground (แชร์หนังสือให้คนหยิบไปอ่านฟรีๆ ในรถไฟใต้ดิน) ที่เธอเป็นหนึ่งในสมาชิก โดยเธอได้นำหนังสือ Mom & Me & Mom เขียนโดย มายา แอนเจโล ซึ่งเป็นหนังสือเล่มโปรดของเธอจำนวนกว่าร้อยเล่มไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ในสถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่งทั่วลอนดอน นั่นก็ทำให้เธอได้รับคำชื่นชมกลับมาอีกเพียบ

 

 

Joseph Gordon-Levitt (1981)

โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ เริ่มต้นเส้นทางสายบันเทิงมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยวัยเพียง 7 ปี จากการปรากฏตัวเล็กๆ น้อยๆ ในซีรีส์ทางโทรทัศน์

 

หากแต่เส้นทางสายการแสดงที่แท้จริงของเขานั้น เราอยากจะเริ่มต้นนับจากผลงานการแสดงในภาพยนตร์ A River Runs Through It (1992) (ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้รับบทบาทอย่างเป็นจริงเป็นจัง) ด้วยวัยเพียง 11 ปี เขาก็คว้ารางวัล Young Artist Award for Best Actor Under Ten กลับบ้านไปนอนกอดได้ทันที จากจุดเริ่มต้นตรงนั้นเองที่ทำให้นักแสดงเด็กน้อยอย่างเขาได้รับโอกาสทางการแสดงอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัย 23 ปี เป็นหนุ่มแน่นเต็มตัว ผลงานการแสดงในภาพยนตร์ Mysterious Skin (2004) ทำให้โจเซฟได้รับเสียงชื่นชมในฐานะนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองของวงการ ขณะที่ผลงาน (500) Days of Summer ซึ่งฮอตฮิตมากๆ ในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ปี 2009 ได้ส่งให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น (โดยเฉพาะกับสาวๆ) ส่วนในเวลานี้น่ะเหรอ… ผลงานอย่าง Inception (2010), The Dark Knight Rises (2012), Looper (2012), Don Jon (2013) ที่เขาทั้งกำกับและแสดงนำเอง) และ The Walk (2015) นั่นได้พิสูจน์ตัวตนว่าเขาเติบโตเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการไปเรียบร้อยแล้ว

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising