CARTE D’OR เป็นแบรนด์ไอศกรีมที่มีต้นกำเนิดยาวนานตั้งแต่ปี 1978 โดยปาติซิเยร์ชาวฝรั่งเศส แพทริก มอร์เลต์ ที่ตั้งใจทำไอศกรีมโดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพให้ผู้คนได้สัมผัสรสชาติของไอศกรีมพรีเมียมได้ที่บ้านในราคาที่จับต้องได้ โดย AU CHOCOLAT NOIR ไอศกรีมรสดาร์กช็อกโกแลตผสมชิ้นช็อกโกแลตจากอิตาลี และ À LA VANILLE ไอศกรีมเฟรนช์วานิลลา ผสมวานิลลาบีนจากมาดากัสการ์ที่โด่งดังในเรื่องรสสัมผัสที่เข้มข้นและนุ่มนวล ทั้งสองเป็นไอศกรีมสองรสชาติแรกที่แพทริกคิดค้นขึ้น โดยใช้เวลาอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ทำไอศกรีมทั้งสองรสชาตินี้นานถึง 4 ปี และได้วางขายในปี 1982
หลังจากที่ CARTE D’OR ครองใจคนในฝรั่งเศสด้วยไอศกรีมรสชาติเข้มข้นที่สามารถซื้อไปสร้างสรรค์เมนูใหม่เองได้ที่บ้านแล้ว ในปี 1986 CARTE D’OR ก็มีไอศกรีมถึง 25 รสชาติที่ล้วนเป็นไอศกรีมจากวัตถุดิบชั้นดี เป็นไอศกรีมที่ถูกเลือกใช้ในทุกโอกาส ตั้งแต่มื้อพิเศษในร้านอาหารไปจนถึงมื้อว่างในครอบครัว เพราะมีรสชาติดีที่อยู่ในราคาจับต้องได้นี้นี่เอง
ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป และความต้องการผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่ช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นในช่วงเวลาที่ตึงเครียด Unilever จึงตัดสินใจนำไอศกรีมพรีเมียม CARTE D’OR เข้ามาให้คุณได้สัมผัสรสชาติความเข้มข้นของไอศกรีมที่ทำจากวัตถุดิบชั้นดีในราคาสบายกระเป๋า
และแน่นอนว่าการเปิดตัวของแบรนด์ไอศกรีม CARTE D’OR นั้นจะต้องไม่ธรรมดา CARTE D’OR ได้จัดงานเปิดตัวแบรนด์ในรูปแบบ Dessert Fine Dining เพื่อบอกเล่าเรื่องราวและรสชาติเข้มข้นที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจากเชฟ
Dessert Fine Dining ครั้งนี้จัดขึ้นที่ร้านอาหาร Le Lapin ของ เชฟแก้ว-ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร ที่รังสรรค์เมนูจากไอศกรีม CARTE D’OR ออกมาให้พรีเมียมยิ่งขึ้นไปอีก ประกอบกับการฉายภาพแอนิเมชันลงบนโต๊ะอาหาร ทำให้ประสบการณ์การกินไอศกรีมครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่สวยงามจนลืมไม่ลง
แอนิเมชันที่ฉายลงบนโต๊ะนั้นเล่าเรื่องการเดินทางของเชฟตัวน้อยที่ไปตามหาวัตถุดิบชั้นเลิศจาก 4 ประเทศ มาทำเป็นไอศกรีมและตกแต่งให้สวยงาม โดยทุกคนจะได้รับแผนที่และโปสการ์ดจากเชฟตัวน้อยไปเป็นที่ระลึกด้วย
เริ่มที่จานแรก Lost in Venice ที่สร้างสรรค์มาจากไอศกรีม CARTE D’OR รส AU CHOCOLAT NOIR ชูความโดดเด่นของชิ้นช็อกโกแลตจากอิตาลีในรูปแบบก้อนเมฆที่ทำจากไวต์ช็อกโกแลต เพิ่มกิมมิกความสนุกด้วยการฉีดน้ำหอมกินได้กลิ่นคาราเมลลงไป และเมื่อผ่ากลางก้อนเมฆออกมาจะพบกับชั้นของมาสคาโปน เลดี้ฟิงเกอร์ และไอศกรีม CARTE D’OR รส AU CHOCOLAT NOIR
ตามมาด้วย Treasure Hunt เมนูที่เสิร์ฟมาอย่างอลังการในหีบไม้ และมีภารกิจหาสมบัติเป็นวัตถุดิบที่หายไป หรือเจลลีรูปเพชร เพื่อทำให้เมนูนี้สมบูรณ์ เมื่อเปิดหีบออกมาจะพบกับวานิลลาชูเคลือบทอง และไอศกรีม CARTE D’OR รส À LA VANILLE เฟรนช์วานิลลา ผสมวานิลลาบีนจากมาดากัสการ์ที่โด่งดังในเรื่องรสสัมผัสที่เข้มข้นและนุ่มนวล
จานต่อไปคือ Follow the Kangaroo จากไอศกรีม CARTE D’OR รส CARAMEL AU BEURRE ไอศกรีมรสคาราเมลพร้อมบัตเตอร์ทาร์ต มิกซ์นัต และอัลมอนด์จากออสเตรเลีย ที่เสิร์ฟมาอย่างสวยงามในรูปแบบของโดมไวต์ช็อกโกแลตที่มีผีเสื้อเกาะอยู่ด้านบน ตกแต่งด้วยอัลมอนด์ครัมเบิล อัลมอนด์ครีม เฮเซลนัตครีม และบลูเบอร์รี ก่อนกินก็มีกิมมิกน่ารักๆ ให้เล่นอีกเช่นเคย โดยการโรย Pixie Dust ลงบนผีเสื้อให้สวยงาม ก่อนที่จะเปิดโดมไปลิ้มรสชาติไอศกรีมที่อยู่ด้านใน
จานสุดท้ายคือ The Magic Pot กระถางต้นไม้แสนน่ารักจากไอศกรีม CARTE D’OR รส À LA FRAISE ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี ผสมชิ้นสตรอว์เบอร์รีและสตรอว์เบอร์รีพูเรเปรี้ยวหวานกลมกล่อมที่ซ่อนอยู่ในก้อนเมฆที่ต้องฉีดปุ๋ยวิเศษลงไปก่อนถึงจะเจอกับไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี ส่วนในกระถางประกอบไปด้วยหลากหลายรสสัมผัสจากทั้งครัมเบิลข้าวเหนียว เค้กวานิลลา และมูส
ไอศกรีม CARTE D’OR จะมอบประสบการณ์เหนือระดับให้คุณได้สัมผัสรสชาติเข้มข้นจากแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบชั้นดีที่นำมาทำเป็นไอศกรีม คุณเองก็สัมผัสรสชาติเข้มข้นยกระดับประสบการณ์สุดพิเศษได้ที่บ้าน กับ 4 รสชาติ ในราคากระปุกละ 149 บาท ได้แล้ววันนี้
ให้ CARTE D’OR เป็นตัวเลือกสำหรับช่วงเวลาที่น่าจดจำของคุณและคนในครอบครัว
