หลังจากที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 ซึ่งกำหนดให้คนโดยสาร ‘รถยนต์’ ที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องจัดให้นั่งใน ‘ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก’ (Car Seat) หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ถึงแม้จะเริ่มบังคับใช้อย่างเร็วที่สุดในอีก 120 วัน หรือตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้
หลายคนคงมีความสงสัยว่า Car Seat คืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญ ประเทศอื่นมีกฎหมายแบบเดียวกันนี้หรือไม่ และรัฐบาลควรมีนโยบายอะไรเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้ Car Seat บ้าง
Car Seat คืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญ
‘ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก’ (Car Seat หรือ Child Restraint System: CRS) คืออุปกรณ์เสริมเบาะที่นั่งรถยนต์ เป็นเบาะที่นั่งและมีเข็มขัดนิรภัยสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 12 ปี ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในขณะเกิดอุบัติเหตุ เช่น เด็กกระเด็นออกจากรถ เนื่องจากรูปร่างของเด็กไม่เหมาะสมกับเข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่ จึงต้องใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยที่ต่างออกไป ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า
- Car Seat ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ 71-82% เมื่อเทียบกับการคาดเข็มขัดเพียงอย่างเดียว
- Car Seat แบบเสริมลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงได้ 45% ในเด็กอายุระหว่าง 4-8 ปี เมื่อเทียบกับการคาดเข็มขัดเพียงอย่างเดียว
- ในขณะที่การคาดเข็มขัดลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ประมาณ 50% ในเด็กโตและผู้ใหญ่
สำหรับข้อมูลในประเทศไทยในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรประมาณ 1,500 ราย และบาดเจ็บอีก 2 แสนราย หรือ 20 รายต่อชั่วโมง และคิดเป็น 25% ของผู้บาดเจ็บทั้งหมด โดยประมาณ 2 ใน 3 ประสบอุบัติเหตุขณะโดยสารรถจักรยานยนต์ และอีก 1 ใน 3 ขณะโดยสารรถยนต์ อุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ด้วยการคาดเข็มขัดนิรภัยในผู้ใหญ่ และการใช้ Car Seat สำหรับเด็ก
ประเภทของ Car Seat และการติดตั้ง
Car Seat แบ่งเป็น 3 ประเภท การเลือกใช้จะขึ้นกับช่วงอายุ ส่วนสูง และน้ำหนักของเด็กดังนี้
- แบบติดตั้งหันหน้าไปทางด้านหลังรถ (Rear-Facing Car Seat) สำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงวัยหัดเดิน 2-4 ปี จนกระทั่งมีน้ำหนักหรือส่วนสูงเกินที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด เด็กจะนั่งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกต้นคอหัก จากการสะบัดของศีรษะเมื่อเกิดการชนหรือเบรกรุนแรง
- แบบติดตั้งหันหน้าไปทางด้านหน้ารถ (Forward-Facing Car Seat) สำหรับเด็กเล็กจนถึงอายุอย่างน้อย 5 ปี โดยยึดน้ำหนักหรือส่วนสูงตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
- แบบเสริม (Booster Seat) สำหรับเด็กโต เพื่อยกตัวเด็กขึ้นให้สามารถใช้เข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่ได้พอดี โดยส่วนล่างของเข็มขัดนิรภัยต้องพาดผ่านหน้าขาส่วนบน (ไม่ใช่ส่วนท้อง) และส่วนบนพาดผ่านหัวไหล่และหน้าอกตรงกลาง (ไม่ใช่คอ/หน้า หรือไม่ผ่านหัวไหล่) ซึ่งมักจะไม่พอดีจนกว่าเด็กจะอายุ 9-12 ปี
การติดตั้งควรปฏิบัติตามคู่มือหรือปรึกษาพนักงานขาย โดย Car Seat ทุกประเภทควรติดตั้งไว้ที่เบาะหลัง เพราะเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด และถุงลมนิรภัยอาจทำให้เด็กที่นั่งเบาะหน้าเสียชีวิตได้ ห้ามติดตั้ง Car Seat ประเภทหันหน้าไปทางด้านหลังรถไว้หน้าถุงลมนิรภัยเด็ดขาด เด็กควรนั่งใน Car Seat ตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะใช้ระยะเวลาสั้นเพียงใด และผู้ใหญ่จะเป็นตัวอย่างของการคาดเข็มขัดนิรภัยแก่เด็กทุกครั้ง
ประเทศอื่นออกกฎหมายบังคับหรือไม่
ข้อมูลจากเว็บไซต์ให้บริการเช่ารถ Rhinocarhire ระบุว่าทั่วโลกมีประเทศทั้งหมด 96 ประเทศที่บังคับการใช้ Car Seat เช่น แคนาดา อเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย รวมถึง 6 ประเทศในอาเซียนด้วย ได้แก่ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม
- 🇨🇦 แคนาดา กำหนดให้เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีนั่งใน Car Seat ยกเว้นรถแท็กซี่ (ยกเว้นรับส่งกรณีส่วนตัว หรืออยู่ภายใต้สัญญากับโรงเรียนหรือหน่วยงานอื่นสำหรับการขนส่งเด็ก) รถโดยสารประจำทาง รถฉุกเฉิน มีโทษปรับ 240 ดอลลาร์แคนาดา และหัก 2 คะแนน
- 🇺🇸 อเมริกา รายละเอียดขึ้นกับแต่ละรัฐ ยกตัวอย่างนิวยอร์กกำหนดให้เด็กนั่งใน Car Seat จนถึงอายุ 8 ปี และเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีทุกคนต้องนั่งใน Car Seat ประเภทหันหน้าไปทางด้านหลังรถ ยกเว้นรถแท็กซี่ มีโทษปรับ 100 ดอลลาร์สหรัฐ และหัก 3 คะแนน
- 🇬🇧 สหราชอาณาจักร กำหนดให้เด็กที่เดินทางด้วยรถยนต์และรถตู้ต้องนั่งใน Car Seat ที่เหมาะสมจนกว่าจะอายุ 12 ปี หรือสูง 135 เซนติเมตร ซึ่งในเว็บไซต์ของทางการจะมีคำแนะนำการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับส่วนสูงหรือน้ำหนัก มีโทษปรับ 60 ปอนด์ และหัก 3 คะแนน
การบังคับให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ใช้ Car Seat ของไทยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพียงแต่พ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ Car Seat หรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมควบคุมโรค, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่ได้รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของ Car Seat เท่าที่ควร
ภาครัฐควรมีนโยบายอะไรเพิ่มเติมบ้าง
ในแง่ของความปลอดภัยทางถนน เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คือพฤติกรรมการนั่งใน Car Seat ของเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จนกว่าจะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้ใหญ่ได้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดพฤติกรรมสุขภาพ PRECEDE-PROCEDE model ของ Green and Kreuter (1991) จะมีปัจจัยหลัก 3 ประการที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- ปัจจัยนำ (Predisposing) คือตัวเด็ก เช่น ความสามารถในการนั่ง Car Seat
- ปัจจัยเสริม (Reinforcing) ได้แก่ พ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น การรับรู้ความเสี่ยง ความสามารถในการจัดการกับลูกให้นั่ง Car Seat, ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถสอนวิธีการสื่อสารกับเด็ก, สื่อมวลชนที่สามารถเผยแพร่คำแนะนำต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญ, ตำรวจที่บังคับใช้กฎหมาย
- ปัจจัยเอื้อ (Enabling) คือ อุปกรณ์ Car Seat ซึ่งไม่มีติดตั้งมาพร้อมกับรถ จึงต้องหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และมีคุณภาพ, แหล่งข้อมูลแนะนำการเลือกซื้อ Car Seat เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, บรรทัดฐานทางสังคม/นโยบาย
จุดคานงัดที่สำคัญน่าจะเป็นอุปกรณ์ Car Seat ภาครัฐควรมีนโยบายเพิ่มเติมโดยกำหนดมาตรฐาน ซึ่งอาจเทียบเคียงจากมาตรฐาน i-Size (R129) หรือ ECE R44 ของยุโรป ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ และมาตรการทางภาษีที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง
ยกตัวอย่าง 🇲🇾 มาเลเซียที่ออกกฎหมาย Car Seat ก่อนหน้าไทยไม่นาน (เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2563) แต่ Anthony Loke รัฐมนตรีคมนาคม ได้ประกาศว่าจะใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจผู้ปกครอง โดยยกเว้นภาษีนำเข้า และลดภาษีสรรพสามิตจาก 10% เหลือ 5%
กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เป็นนโยบายที่สร้างบรรทัดฐานทางสังคมใหม่ว่าผู้ใหญ่จะต้องให้เด็กนั่ง Car Seat ขณะโดยสารรถยนต์ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้บางส่วนเป็นประเด็นการดำเนินโยบาย (Implementation) ซึ่งไม่รายละเอียดเป็นขั้นตอนมาพร้อมกับการประกาศนโยบาย (Adoption) และความกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งขอให้ผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับเอาไปกำหนดแนวการทำงานโดยยึดเป้าหมายสูงสุดเป็นสำคัญ
อ้างอิง:
- สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนน https://ddc.moph.go.th/dip/journal_detail.php?publish=12262
- การเปรียบเทียบสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย https://www.thairsc.com/data-compare
- กฎหมายเกี่ยวกับการใช้เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car seat) เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง https://www.senate.go.th/assets/portals/93/fileups/272/files/S%E0%B9%88ub_Jun/12know/k134.pdf
- Keep Child Passengers Safe https://www.cdc.gov/injury/features/child-passenger-safety/index.html
- Child Passenger Safety https://publications.aap.org/pediatrics/article/142/5/e20182460/38530/Child-Passenger-Safety
- Child Car Seat Laws by Country https://www.rhinocarhire.com/Drive-Smart-Blog/Child-Car-Seat-Laws-by-Country.aspx
- Choosing a child car seat https://www.ontario.ca/page/choosing-child-car-seat
- What Does Your State Law Say About Car Seats? https://saferide4kids.com/car-seat-laws-by-state/
- Safety restraints https://dmv.ny.gov/more-info/safety-restraints
- Child car seats: the law https://www.gov.uk/child-car-seats-the-rules
- Car child seat ruling: No summonses for first six months, says Loke https://www.thestar.com.my/news/nation/2019/11/19/car-child-seat-ruling-no-summonses-for-first-six-months-says-loke