×

‘キャプテン翼’ มังงะที่เปลี่ยนโลกฟุตบอลได้ทั้งใบ ด้วยปีก หัวใจ ท้องฟ้า และความฝัน

30.03.2025
  • LOADING...
มังงะ กัปตันซึบาสะ

“ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แค่นี้หรอก” เสียงในหัวของตัวละครที่ดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจเต้นตึกตักของคนที่นั่งเฝ้าหน้าจออยู่ทางนี้

 

“รับลูกยิงนี้ไปซะ! ไดรฟ์ชู้ต!!!” 

 

แล้วภาพก็ตัดไปที่เสียงในหัวของตัวละครอีกตัวที่ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน พร้อมกับแฟลชแบ็กย้อนเวลาไปถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนที่เวลาจะหมดและจบตอน…(ฮ่า)

 

เกริ่นมาแบบนี้ คุณผู้อ่านหลายคนน่าจะรู้แล้วนะครับว่าเรากำลังคุยกันถึงเรื่องของมังงะ (การ์ตูน) ลูกหนังอันดับหนึ่งตลอดกาลของโลก キャプテン翼 หรือ กัปตันซึบาสะ ที่อยู่คู่กับโลกฟุตบอลมายาวนานกว่า 40 ปี และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่เกมลูกหนังได้อย่างน่ามหัศจรรย์

 

ด้วยปีก ท้องฟ้า และหัวใจของตัวละครทุกคนในเรื่อง

 

ท่ามกลางมังงะฟุตบอลมากมายบนโลกใบนี้ที่เคยเป็นที่รักและผูกพันของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Shoot!, Viva Calcio, J-Dream หรือมังงะสมัยใหม่อย่าง Blue Lock และ Aoashi แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดเริ่มต้นสำหรับใครหลายคนที่ทำให้ค่อยๆตกหลุมรักในเกมฟุตบอลย่อมหนีไม่พ้น “กัปตันซึบาสะ”

 

เพราะนี่คือเรื่องราวของเกมฟุตบอลที่บริสุทธิ์ ซื่อตรง ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน

 

 

แค่เรื่องราวของเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ต่างหลงรักในเกมฟุตบอล ใช้ความฝันนำทาง พบพานมิตรแท้ และพยายามอย่างถึงที่สุด ไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะต้องประสบพบเจอกับอุปสรรคใดๆก็ตาม

 

เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวของความรักที่บริสุทธิ์ ใสๆไม่มีอะไรเจือปน

 

โดยที่เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดจากการตกหลุมรักและความหลงใหลของศิลปินผู้ให้กำเนิดเรื่องราวอย่าง โยอิจิ ทาคาฮาชิ ซึ่งมีโอกาสได้ติดตามชมการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินา จนไม่อาจถอนตัวจากเกมลูกกลมๆที่ผู้เล่น 22 คนในสนามต้องพยายามเอาชนะอีกฝ่ายด้วยการยิงประตูฝั่งตรงข้ามให้ได้

 

รักแรกพบครั้งนี้ทำให้อาจารย์ทาคาฮาชิ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะวาดมังงะของฟุตบอลหรือ “ซักก้า” (サッカー) ให้ได้เพื่อให้คนญี่ปุ่นได้รู้จักเผื่อว่าจะตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้ไปด้วย

 

นั่นเพราะสำหรับชาวเมืองอาทิตย์อุทัยแล้ว กีฬาที่เป็นเหมือนกีฬาประจำชาติของพวกเขาคือเบสบอล และฟุตบอลของญี่ปุ่นในยุค 1970 นั้นเป็นกีฬารองที่อยู่ห่างไกลจากความนิยมแบบสุดกู่ ญี่ปุ่นยังไม่มีลีกฟุตบอลอาชีพที่แท้จริง ทีมฟุตบอลยังเป็นทีมขององค์กรธุรกิจที่คอยจ่ายเงินสนับสนุนให้อยู่เลย

 

แต่กว่าที่ไอเดียนี้จะได้รับการตอบสนองจากกองบรรณาธิการของนิตยสาร Shonen Jump อ.ทาคาฮาชิต้องใช้ความอดทนและมุ่งมั่นอย่างมากถึง 3 ปี ในการจะทำให้กองบรรณาธิการยอมให้โอกาสที่จะวาดมังงะที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จได้

 

เพราะพล็อตของเรื่องราวไม่ได้อิงจากนักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์คนไหน ไม่มีความดราม่าให้ขาย ไม่มีความเข้มข้น เป็นแค่เรื่องราวของโอโซระ ซึบาสะ เด็กประถมคนหนึ่งที่หลงรักเกมฟุตบอลและถึงจะมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างน่ามหัศจรรย์ก็ไม่เคยลดละความพยายามเลย

 

ใครจะอยากอ่านเรื่องของเด็กประถมอายุ 11 ขวบกัน?

 

ปรากฏว่าเรื่องนี้จริง! เพราะหลังจากที่เปิดตัวในปี 1981 ได้แค่ 3 ตอนคะแนนความนิยมของกัปตันซึบาสะไหลไปไกลถึงอันดับที่ 13 ในทำเนียบการจัดอันดับคะแนนความนิยมของ Jump

 

สำหรับคนที่คุ้นเคยกับ Jump เป็นอย่างดีจะเข้าใจว่าเรื่องนี้มีความสำคัญแค่ไหน แต่ขออนุญาตอธิบายเผื่อสำหรับคนที่อาจจะไม่เข้าใจว่า ปกติแล้วนิตยสารการ์ตูนนี้จะมีเกณฑ์ง่ายๆ ที่จะตัดสินว่ามังงะเรื่องไหนจะได้ไปต่อด้วยการดูจากอันดับคะแนนนิยมที่มาจากการส่งเข้ามาโหวตของแฟนนิตยสาร (สมัยนั้นคือการส่งจดหมายตอบกลับมา)

 

ถ้ามังงะน้องใหม่เรื่องไหนคะแนนนิยมต่ำมากจะถูกตัดจบอย่างรวดเร็วแค่ 10 ตอนเท่านั้น เรียกว่าลิเกลาโรงตั้งแต่ยังไม่ทันไรเลย ซึ่งจบตอนที่ 3 กัปตันซึบาสะอันดับไหลไปไกลถึงที่ 13 

 

และนั่นทำให้ตั้งแต่ตอนที่ 4 เป็นต้นไป อ.ทาคาฮาชิ ต้องหาวิธีที่จะทำให้กัปตันซึบาสะเข้าไปอยู่ในหัวใจของทุกคนให้ได้

 

 

สิ่งที่เติมเข้าไปนั้นนอกจากการตัดสินใจให้พบกับคู่แข่งที่เก่งกาจที่สุดอย่าง วากาบายาชิ เก็นโซ สุดยอดผู้รักษาประตู คือเรื่องลูกยิงมหัศจรรย์อย่างลูก “โอเวอร์เฮดคิก”​ หรือลูกยิงจักรยานอากาศ (ในอีกชื่อคือ Bicycle kick) ซึ่งเป็นเทคนิคการยิงประตูที่ยากที่สุด ซึ่งเป็นท่าที่ทุกคนจดจำได้จาก เปเล ราชาลูกหนังชาวบราซิล กับฉากในหนังฟุตบอลระดับตำนาน “Escape to Victory” ที่ออกฉายในปี 1981 เช่นเดียวกัน

 

ปรากฏว่าความทุ่มเทของอ.ทาคาฮาชิได้ผล คะแนนความนิยมของกัปตันซึบาสะพุ่งสูงขึ้น แฟนๆ เริ่มเปิดประตูหัวใจต้อนรับไม่ใช่แค่ซึบาสะ หรือวากาบายาชิ แต่รวมถึง ทาโร มิซากิ “คู่หูแข้งทอง” เพื่อนรักตลอดชีวิต จนสุดท้ายได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการให้ “ไปต่อ”

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งมังงะเรื่องนี้ได้อีกต่อไป โดยที่ “ท่าไม้ตาย” ของตัวละครในเรื่องกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ทุกคนหลงรักเรื่องนี้ เด็กๆ ต่างพยายามจะเลียนแบบให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น โอเวอร์เฮดคิก, ไดรฟ์ชู้ต (ซึบาสะ) , ไทเกอร์ช็อต (เฮียวงะ โคจิโร) , ลูกชิ่งคู่ขาแข้งทอง (มิซากิ), ลูกยิงใบมีดโกน (โซดะ), สกายแล็บชู้ต (พี่น้องทาจิบานะ) 

 

เขียนถึงตรงนี้มีใครอยากยกมือสารภาพในใจว่าเคยลองทำมาแล้วบ้าง? (ผมก็คนหนึ่งละ)

 

โดยในเบื้องหลังแล้วอ.ทาคาฮาชิ ได้แรงบันดาลใจมาจากท่าไม้ตายของนักมวยปล้ำอาชีพ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่โปรดปรานเช่นกัน จึงเอาไอเดียมาใช้ในเรื่องนี้ด้วยและได้ผลเป็นอย่างดี

 

สีสันนี้ได้ถูกใช้เคียงข้างไปกับการถ่ายทอดสิ่งดีๆอย่างเรื่องของมิตรภาพ การเปลี่ยนความลุ่มหลงให้เป็นพลัง หรือความมานะพยายาม ผ่านการฝึกฝนของตัวละคร หรือการไม่ย่อท้อเมื่อเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า

 

ความนิยมพุ่งของกัปตันซึบาสะพุ่งสูงเหมือนติดปีกบินขึ้นท้องฟ้า ถูกนำไปสร้างเป็นแอนิเมชัน (หรืออนิเมะ) ที่แม้จะถูกแซวว่ายืดและยาวจนเกินเหตุ กว่าจะเลี้ยง กว่าจะยิง กว่าจะคุยกันเสร็จก็จบตอนพอดีต้องรอตอนต่อไป แต่เด็กทุกคนในยุคสมัยนั้น และยุคสมัยต่อมาพร้อมที่จะอดทนเฝ้ารอตอนต่อไปของกัปตันซึบาสะเสมอ

 

เพราะเราอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เราจะได้ดูท่าไม้ตายที่เหนือจินตนาการของใครอีกบ้าง ต่อให้เราจะรู้อยู่แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะในตอนจบก็ตาม

 

ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นตรงนี้เอง เพราะกัปตันซึบาสะไม่ได้รับความนิยมเพียงแค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เรื่องราวของโอโซระ ซึบาสะ เด็กหนุ่มผู้มีลูกฟุตบอลเป็นเพื่อนได้ขยายวงกว้างไปไกลทั่วทั้งโลก

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญหรือโชคชะตาเสียทั้งหมดครับ

 

อย่างแรกถึงแม้ฉากของเรื่องจะเป็นประเทศญี่ปุ่น ตัวละครเป็นชาวญี่ปุ่น แต่เพราะฟุตบอลคือภาษาสากล ทุกคนเข้าใจเรื่องราวของซึบาสะได้อย่างง่ายดาย 

 

ตัวละครในเรื่องนั้นต่างมีที่มาที่ไป มีเรื่องราวและเรื่องเล่าในแบบของตัวเอง ไม่ใช่เฉพาะตัวเด่นอย่างซึบาสะ ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในระดับฟ้าประทาน ชีวิตที่เพียบพร้อมทั้งครอบครัวและครูบา (คนประสิทธิ์ประสาทวิชาให้คือสุดยอดนักเตะอย่างโรแบร์โต ฮอนโง เป็นเพื่อนของพ่อที่เป็นนักบินเฉยเลย) แต่ยังมีคนที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมอย่าง ฮิวงะ โคจิโร ที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ไม่สามารถยอมแพ้ต่อใครได้ทั้งนั้น

 

หรือแม้แต่ตัวละครรองอย่าง อิชิซากิ เรียว เพื่อนคนแรกๆ ของซึบาสะก็เป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่มีความพยายาม ต่อให้ไม่ได้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เหมือนคนอื่นแต่ก็มีใจรักและเป็นนักสู้ เอาหน้าบล็อกลูกบอลก็เป็นท่าประจำตัวได้ (แม้ว่าในปัจจุบันเรื่องการกระทบกระเทือนทางสมองจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ไม่ควรเอาอย่างก็ตาม)

 

ความหลากหลายของตัวละครนั้นทำให้คนอ่านนอกจากจะเอาใจช่วยแล้ว ในบางครั้งเรายังมองเห็นตัวเราเองในพวกเขาเหล่านั้นเหมือนกัน

 

นอกจากนี้ตัวละครมากมายในเรื่องที่ซึบาสะและผองเพื่อนต้องเผชิญนั้นมีพื้นเพที่หลากหลาย ไม่เฉพาะแค่ในญี่ปุ่น ซึ่งมีตัวละครจากจังหวัดต่างๆที่ร่วมแข่งขันในระดับประเทศ เช่น มัตซึยามะ ฮิคารุ เจ้าของลูกยิง “อีเกิลส์ช็อต” ก็มาจากจังหวัดฮอกไกโด 

 

หรือในภาคการแข่งขันฟุตบอลยุวชนโลกที่ต้องเจอคู่แข่งที่เก่งกาจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฮวน ดิอาซ (ต้นแบบจากดีเอโก มาราโดนา), เอลซิด ปิแอร์ (ต้นแบบจากมิเชล พลาตินี), คาร์ล ไฮนซ์ ชไนเดอร์ (ต้นแบบจากคาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก) ก็มาจากสุดยอดนักเตะประเทศต่างๆ

 

นอกจากนี้อาจารย์ก็เคยนำนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์หลายคนมาเป็นตัวละครในเรื่องด้วย เช่น ริวาอุล (ริวัลโด), นาตูเรซา (โรนัลโด เด ลิมา) เป็นต้น

 

 

แม้กระทั่งในไทยก็มีตัวละครด้วยเหมือนกันอย่างพี่น้องกรสวัสดิ์ และกัปตันจอมแกร่ง บุญนาค สิงห์ประเสริฐ ซึ่งแม้จะมีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าถอดต้นแบบมาจากใครแต่อ.ทาคาฮาชิ มาเฉลยในเวลาต่อมาว่าเป็นตัวละครที่สร้างจากกีฬาเด่นของไทยอย่างตะกร้อและมวยไทยเท่านั้น

 

สิ่งนี้ทำให้สามารถ “ตก” แฟนๆไม่เพียงแค่ทั่วญี่ปุ่น แต่จากทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอีกมากมายมหาศาล เพราะความผูกพันของท้องถิ่นเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของเกมฟุตบอลทั่วโลก

 

โดยที่ทั้งคนอ่านพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกันกับตัวละครในเรื่องด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากมีการเติบโตจากทีมระดับยุวชนสู่การเป็นทีมชาติ ไปสู่ก้าวต่อไปในการเล่นฟุตบอลสโมสรอาชีพ

 

สายใยที่เกิดขึ้นระหว่างกันนั้นประเมินค่าไม่ได้ เพราะสิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือการเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เด็กทั้งโลก

 

ในญี่ปุ่นกระแสความคลั่งไคล้ในเกมฟุตบอลพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังการเกิดขึ้นของซึบาสะ พวกเขาเริ่มมีลีกอาชีพครั้งแรก “เจลีก” ที่เกิดขึ้นในปี 1993 ทีมชาติญี่ปุ่นเปลี่ยนจากผู้อกหักในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 1994 มาสู่การได้เล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1998 และเริ่มมีนักฟุตบอลญี่ปุ่นบุกไปค้าแข้งในสโมสรฟุตบอลชั้นนำทั่วโลก

 

ขณะที่ในต่างประเทศก็มีเด็กๆ จำนวนมหาศาลที่ติดตามเรื่องราวไปด้วย ซึ่งเด็กๆ ที่เคยเฝ้าหน้าจอดูซึบาสะในวันนั้น ก็ค่อยๆ เติบโตกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังในเวลาต่อมา

 

ยกตัวอย่าง เช่น ซีเนอดีน ซีดาน, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, เฟร์นานโด ตอร์เรส, อันเดรส อิเนียสตา หรือแม้แต่ ลิโอเนล เมสซี ก็เคยมีโอกาสได้พบกับอ.ทาคาฮาชิ เพื่อบอกว่า “ผมได้เล่นทีมเดียวกับซึบาสะด้วย” (ซึบาสะ เมื่อเติบโตขึ้นได้ย้ายมาเล่นให้บาร์เซโลนา) 

 

นี่คือแรงกระเพื่อมที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่น่าเชื่อว่ามังงะฟุตบอลเรื่องหนึ่งจะไปได้ไกลถึงขนาดนี้

 

ซึบาสะยังสร้างแรงกระเพื่อมอีกมากมายทั้งในเชิงของเศรษฐกิจ ในฐานะหนึ่งในแฟรนไชส์กีฬาที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดของโลก หรือในเชิงวัฒนธรรมที่เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ฟุตบอลสุดแฟนตาซีที่ทุกคนรักอย่าง “Shaolin Soccer” (นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่) 

 

ถึงวันนี้ด้วยปัญหาสุขภาพทำให้อ.ทาคาฮาชิ ตัดสินใจที่จะยุติการเผยแพร่ผลงานในแบบฉบับมังงะแล้วตั้งแต่เมื่อปีกลาย แต่ยังคงถ่ายทอดเรื่องราวของซึบาสะและผองเพื่อนต่อไปในภาค “Rising Sun Finals” บนเว็บไซต์ Captain Tsubasa World ซึ่งมีการปรับลายเส้นเป็นภาพร่างง่ายๆ แต่ก็ยังเข้าถึงเรื่องได้ในแบบอารมณ์ที่แตกต่าง

 

เล่าถึงตรงนี้แล้วก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปด้วยกันเลยนะครับว่าไหม

 

จากเด็กที่เคยอ่านซึบาสะมือเปื้อนหมึกในวันนั้น ทุกคนเติบโตมาอย่างแตกต่างตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง

 

แต่คงไม่มีใครลืมเด็กผู้ชายผมชี้ที่มีรอยยิ้มกว้างสดใสเหมือนท้องฟ้าและลูกฟุตบอลที่ไม่เคยห่างตัวคนนั้น

 

เพราะนี่คือคนที่สอนให้เรารักฟุตบอลด้วยความบริสุทธิ์ใจ

 

ฟุตบอลคือเพื่อนของเรา ใช่ไหมซึบาสะ?

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising