จำได้ว่าการไป คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ครั้งนั้นทำให้ฉันมีงานเพิ่มอีกเท่าตัว ทว่าช่วงเวลากรำงานหนักนั้นแสนคุ้มค่า เมื่อภาพที่เคยเห็นผ่านรูปถ่ายเทียบไม่ได้เลยกับทิวทัศน์ตระการตาเบื้องหน้า ภูเขาหินหน้าตาประหลาด เที่ยวเมืองใต้พิภพขนาดตึก 10 ชั้น โบสถ์และภาพเฟรสโกเก่าแก่กว่าพันปี ทุกรายละเอียดราวกับเรื่องลึกลับ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน ขึ้นบอลลูน เดินเท้า ล่องแม่น้ำ ขับรถจี๊ปตะลอนตามภูมิประเทศแปลกตาราวกับผิวดวงจันทร์ อย่าเพียงแต่ดูภาพแล้วปล่อยผ่าน สำหรับฉัน คัปปาโดเกียคือหนึ่งในสถานที่ที่คุณต้องไปก่อนตาย!
Dervish Show การเต้นซึ่งดัดแปลงมาจาก Sema Dance
พิธีเฉลิมฉลองของนิกายเมฟเลวี
คัปปาโดเกียเป็นอาณาบริเวณหนึ่งทางตอนกลางของที่ราบสูงอนาโตเลีย (Anatolia) ครอบคลุมพื้นที่หลายเมืองใหญ่ ได้แก่ อวาโนส (Avanos), เนฟเซฮีร์ (Nevsehir) และอูร์กุป (Urgup) ตีมุมเป็นรูปสามเหลี่ยมโดยมี เกอเรเม (Göreme) เป็นจุดศูนย์กลาง ภูมิทัศน์อันแปลกตาที่เราเห็นในปัจจุบันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์เมื่อ 3-9 ล้านปีก่อน เมื่อภูเขาไฟสองลูกนามว่าเออซิเยส์และฮาซานเกิดปะทุระเบิดตัวพวยพุ่งสายลาวาในเวลาไล่เลี่ยกัน เถ้าถ่านจำนวนมากทับถมอัดแน่นก่อตัวกลายเป็นแผ่นดินชั้นใหม่กินพื้นที่ไปหลายร้อยตารางไมล์ จากนั้นธรรมชาติก็ใช้สายลม แสงแดด พายุฝน กระแสน้ำ และความเย็นจากหิมะกัดกร่อนเซาะทลายผืนแผ่นดินไปอีกนับล้านปี เกิดเป็นภูมิประเทศแปลกตาไปด้วยหินรูปทรงประหลาด ทั้งรูปแท่ง รูปกรวย รูปโดมกระโจมคว่ำ และอีกสารพัดทรง
ความมหัศจรรย์ที่หลงเหลือนำนักเดินทาง นักธรณีวิทยา นักประวัติศาสตร์ ฯลฯ หลากชาติพันธุ์มุ่งหน้ามาสำรวจพื้นที่ตอนกลางของอนาโตเลียจนพบวิถีชีวิตอันน่าเหลือเชื่อว่าใต้ฝ่าเท้าผืนดินที่เหยียบย่ำคือเมืองใต้ดินขนาดใหญ่หลายสิบเมืองที่มีประชากรอาศัยนับหมื่นคนในอดีตกาล
บริเวณนอกอาคาร Göreme Open Air Museum
Göreme แหล่งกำเนิดมนุษย์ถ้ำ
Göreme Open Air Museum คือสถานที่แรกที่คุณควรมาเมื่อมาเยือนคัปปาโดเกีย พิพิธภัณฑ์แบบเปิดที่แสดงเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษชาวคัปปาโดเชียน (Cappadocian) ได้ดีที่สุด ลูเคีย ไกด์สาวชาวตุรกี เล่าว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติเกอเรเมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1985 เป็นถิ่นฐานที่ตั้งของผู้คนตั้งแต่ก่อนคริสตกาล และยังเป็นสถานที่ซึ่งชาวคริสเตียนยุคแรกใช้หลบหนีภัยการล่าสังหารจากจักวรรดิโรมัน ก่อนที่คริสต์ศาสนาจะได้รับการประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติของจักรวรรดิ
หากสังเกตดีๆ เราจะพบว่าโบสถ์ส่วนใหญ่ในเกอเรเมแบ่งเป็นสองขนาดคือเล็กและใหญ่ ขนาดเล็กมักสร้างราวศตวรรษที่ 3-4 เป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่เกิน 9 ตารางเมตร เจาะโพรงเข้าไปในผนังเป็นแท่นพิธีไว้ประกอบพิธีกรรม พร้อมสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซูซึ่งอาจเป็นเครื่องหมายบวกหรือสัญลักษณ์อื่นตามพระคัมภีร์
โบสถ์ขนาดใหญ่ในสมัยนั้นมีลักษณะและสัญลักษณ์
คล้ายโบสถ์อาณาจักรไบแซนไทน์
“ในยุคนี้ชาวคริสเตียนไม่ใช้สัญลักษณ์ไม้กางเขนกันตรงๆ หรอกนะ หนึ่งคือยังแสลงใจต่อเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของพระองค์ และสองคือยังอยู่ในยุคหลบซ่อน” ลูเคียกล่าวพลางชี้เปรียบเทียบไปยังลักษณะของโบสถ์หลังโตหรือโบสถ์ขนาดใหญ่ “คุณเห็นโครงสร้างนั้นไหม มันมีโครงสร้างคล้ายสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ โบสถ์ที่สร้างหลังจักรวรรดิประกาศรับรองศาสนาแล้วจะโอ่อ่าอลังการและประดับด้วยภาพเฟรสโกที่เล่าเรื่องราวของพระองค์และอัครสาวก บางส่วนเล่าถึงวิธีการดำรงชีพในสมัยนั้น ส่วนใหญ่มีอายุประมาณศตวรรษที่ 9-12 ซึ่งเป็นยุคทองของศริสต์ศาสนา ก่อนจะเริ่มเสื่อมลงเมื่อชาวเติร์กเข้ามารุกราน”
Göreme Open Air Museum
Kaymakli เมืองใต้ดินเทียมตึก 10 ชั้น
นอกจาก Göreme Open Air Museum ลูเคียพาเราเดินทางต่อมายังเคย์มาคลิ (Kaymakli) ซึ่งห่างจากเกอเรเมราว 25 กิโลเมตร เมืองใต้ดินทางตอนใต้ของเนฟเซฮีร์ สันนิษฐานว่าช่วงแรกสร้างขึ้นเพื่อใช้หนีทหารโรมันเช่นเดียวกับเกอเรเม แต่ขยายใหญ่ขึ้นในช่วงเวลาที่ชาวเติร์กหรืออาณาจักรออตโตมัน (Ottoman Empire) เริ่มรุกราน ความน่าทึ่งของที่นี่คือเมืองขนาดใหญ่ลึกลงไปเทียมตึก 10 ชั้น มีประชาชนหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ชั้นใต้ดิน
มวลอากาศเย็นโอบล้อมทันทีที่เท้าก้าวสู่อาณาเขตถ้ำ บรรยากาศด้านในกว้างขวางและอากาศถ่ายเทสะดวกมากกว่าที่คิด ทุกห้องเชื่อมต่อถึงกัน ด้านนอกชั้นหนึ่งเป็นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ มีหลุมใส่น้ำและอาหาร มีรูไว้ผูกสัตว์ ถัดลงไปแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องไว้เก็บอาหาร เก็บไวน์ หลุมฝังศพ โบสถ์ และโรงเรียน ที่นี่มีครบทุกอย่างทั้งห้องนอน ห้องส้วม หลุมตะเกียงน้ำมัน ชั้นวางของ ในครัวมีเตาสำหรับทำอาหาร มีช่องระบายควันเชื่อมต่อกับระบบระบายอากาศส่วนกลาง ซึ่งสามารถใช้เป็นทางเข้าออกฉุกเฉินหากจำเป็นจริงๆ และมีบ่อน้ำมากถึง 200 บ่อไว้อุปโภคและบริโภคด้วย
บริเวณโซนที่อยู่อาศัยจะแบ่งเป็นห้องหับต่างๆ
(ซ้าย) ทางเดินภายในถ้ำ เห็นแบบนี้สูงแค่ 150 เซนติเมตร และเดินได้ทีละคนเท่านั้น
(ขวา) หินกลมๆ ใช้ทำหน้าที่แทนประตูเหมือนบ้านในการ์ตูนเรื่อง The Flintstones
“คุณสงสัยล่ะสิว่าช่วงสงครามเขาทำผลิตอาหารกันอย่างไร ก็บอกแล้วว่าพวกเขาน่ะฉลาด” ลูเคียเอ่ยถามพร้อมไขข้อข้องใจว่าเคย์มาคลิไม่ได้มีทางออกเพียงทางเดียว ทางออกบางส่วนยังเชื่อมต่อกับชุมชนเหมือนร้านหัวหมูในภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter หรือไม่ก็โผล่ไปยังซอกหลืบสักซอกของกลีบเขาเหมือนในหนังเรื่อง The Lord of the Rings ตอนกลางวันชาวเมืองจะอาศัยอยู่ในถ้ำ พักผ่อน ทำไวน์ หมักเบียร์ และเลี้ยงสัตว์เล็กจำพวกเป็ดและไก่ ครั้นพออาทิตย์ดับแสง พวกเขาจะจับพลั่วออกไปทำกสิกรรม เก็บเกี่ยวผลผลิตมากักตุนไว้ ด้วยวิถีเช่นนี้ชาวเคย์มาคลิจึงไม่เคยต้องกังวลเรื่องปากท้องยามถูกข้าศึกโจมตี เว้นเสียแต่ว่าธรรมชาติจะกลั่นแกล้งพวกเขาไม่ให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพียงพอต่อการกักตุน
เดินสำรวจห้องหับจนมาถึงชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่เปิดให้ชมจากทั้งหมด 10 ชั้นที่ทางการสำรวจเจอ ความยิ่งใหญ่อลังการชวนทึ่งถึงทักษะการปรับตัวเอาชีวิตรอดของบรรพบุรุษ ลองคิดถึงตึก 10 ชั้นซึ่งอยู่ใต้ดิน มีความยาวอุโมงค์รวมระยะทางได้ถึง 80 กิโลเมตร มีก้อนหินกลมแบนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.50 เมตร หนา 50 เซนติเมตร หนัก 300 กิโลกรัม ไว้ปิดอุโมงค์ทางเดินเป็นช่วงๆ มีรูเล็กๆ ไว้สื่อสารเพื่อเตือนภัยกันในยามฉุกเฉิน ที่สำคัญทุกตารางนิ้วในถ้ำสร้างขึ้นจากแรงกายคนด้วยสองมือของพวกเขาโดยไม่มีเครื่องจักรช่วยแต่อย่างใด สำหรับฉันแล้วมันช่างอัศจรรย์ไม่ต่างจากนครเพตรา ประเทศจอร์แดน หรือพีระมิดสักแห่งของประเทศอียิปต์เลย
ขึ้นบอลลูนชมคัปปาโดเกียในมุมสูง
มาคัปปาโดเกีย ถ้าคุณพลาดชมความงามของเมืองผ่านบอลลูนถือว่ามาไม่ถึง ไอร้อนจากหัวจุดเชื้อเพลิงส่งบอลลูนลูกโตลอยสูงเหนือพื้นดินจนสิ่งต่างๆ บนพื้นล่างมีขนาดเล็กจิ๋ว ทิวทัศน์ด้านบนช่างน่าตื่นตาและอลังการจนอดร้องว้าวดังๆ ไม่ได้ มาร์คัส กัปตันร่างท้วม พาเราลอยตัวผ่านภูมิทัศน์แปลกตาหลายแห่ง อาทิ ผาหินสีขาวอมชมพู Red Valley ผ่าน Pasabag Valley หินทรงสูงใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายเห็ดสามหัว เราเห็นภูมิประเทศดั่งพื้นผิวดวงจันทร์ท่ามกลางแสงแรกยามเช้าทอดไกลไปถึงภูเขาเออร์ซิเยส์ ความงามน่าตื่นตะลึงจนรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่โลกอีกโลกหนึ่ง กัปตันบังคับบอลลูนลอยต่ำลัดเลาะไปตามซอกเขาเพื่อให้ลูกทัวร์ทั้ง 6 ชีวิตชมรายละเอียดหินผาได้ชัดเจน ก่อนลอยขึ้นสูงอีกครั้งเพื่อเก็บความประทับใจครั้งสุดท้ายยามแสงแดดเริ่มสาดส่องทั่วแผ่นดิน
คัปปาโดเกียยามเช้าว่างามแล้ว ยามค่ำคืนฉันพบว่างดงามไม่ต่าง ท้องฟ้าสีดำสนิท ดวงดาวพราวฟ้า นิ่งสงบ หากแต่ไม่ไร้การเคลื่อนไหว ผู้คนยังคงไหลลื่นไปตามกาลเวลา บ้านถ้ำหลายหลังเปิดไฟส่องสว่าง ฉันมองเห็นเด็กสาวนั่งถักทอพรมระหว่างฟังวิทยุ เห็นกลุ่มผู้สูงวัยสูบฮุกคาห์พลางดูโทรทัศน์ ที่นี่ยังคงรักษาวิถีชีวิตเดิมๆ ของบรรพบุรุษ หญิงสาวยังคงทอผ้า บุรุษยังต้องมีวิชาปั้นไห คัปปาโดเกียเปรียบได้ดังพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ที่ที่เราสามารถสัมผัสอดีตได้ในช่วงเวลาปัจจุบัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
Getting there
- สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส สายการบินแห่งชาติของประเทศตุรกี มีบริการเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ-ไกเซรี หลายเที่ยวบินต่อสัปดาห์ สามารถเช็กตารางบินได้ที่ www.turkishairlines.com
Where to Stay
- DoubleTree By Hilton Avanos: www.doubletree.hilton.com
- Anatolian Cave House: www.anatolianhouses.com.tr
- Göreme Kaya Otel: www.goremekayaotel.com
Where to Eat
- แนะนำให้ลองกินร้านอาหารริมทางสลับกับภัตตาคาร แนะนำร้าน Evranos Restaurant หรือ Altinocak Restaurant ในมื้อดินเนอร์ หากต้องการบรรยากาศบ้านถ้ำแบบคัปปาโดเกียพร้อมการแสดงพื้นเมืองน่าติดตาม ดูรายละเอียดและจองโต๊ะได้ที่ www.cappadociarestaurants.com