Canon เตรียมเปิดตัวกล้อง Mirrorless เรือธงรุ่นใหม่ EOS R1 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ เพื่อรักษาฐานลูกค้ามืออาชีพและรับมือกับความท้าทายจากคู่แข่งอย่าง Nikon และ Sony ซึ่งแบรนด์หลังได้ถูกยกขึ้นมากลายเป็น ‘คู่แข่งที่ใหญ่ที่สุด’ ในตลาดกล้อง Mirrorless
EOS R1 มาพร้อมกับเทคโนโลยีออโต้โฟกัสขั้นสูงที่สามารถจับภาพใบหน้าของนักกีฬาวอลเลย์บอลได้แม้จะถ่ายผ่านตาข่าย และยังสามารถล็อกเป้าหมายได้แม้จะมีคนอื่นเดินผ่านหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเซ็นเซอร์รับภาพและเอนจินประมวลผลภาพของ Canon ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและมีคุณภาพสูงสุด
นอกจากประสิทธิภาพแล้ว Canon ยังเน้นย้ำถึงความทนทานของ EOS R1 ที่สามารถใช้งานได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น สภาพอากาศที่มีฝนตก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ต้องทำงานในสภาวะต่างๆ
หลังจากเปิดตัวในญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายนนี้ Canon วางแผนที่จะผลิต EOS R1 จำนวน 3,700 เครื่องต่อเดือน โดยตั้งราคาไว้ที่ 1,089,000 เยน หรือราว 250,000 บาท ซึ่งสูงกว่ารุ่นเรือธงของ Sony และ Nikon ที่มีราคาราว 800,000-900,000 เยนเท่านั้น แต่ Canon มั่นใจว่าจะสามารถสร้างความต้องการในตลาดมืออาชีพได้
การเปิดตัว EOS R1 นับเป็นการตอบโต้ Sony ที่เปิดตัวกล้อง Mirrorless เรือธง Alpha 9 III ในปี 2021 และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ช่างภาพมืออาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ภาพถ่ายเหตุการณ์ลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกถ่ายด้วยกล้องรุ่นนี้ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและความนิยมของกล้อง Sony ในหมู่ช่างภาพมืออาชีพ
แม้ว่า Canon จะยังคงเป็นผู้นำตลาดกล้อง Mirrorless ทั่วโลกในปี 2023 ด้วยส่วนแบ่ง 41% แต่ Sony ก็ไล่ตามมาติดๆ ด้วยส่วนแบ่ง 32% และในญี่ปุ่น Sony ยังสามารถแซงหน้า Canon ในด้านยอดขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยสถานการณ์ที่ตลาดกล้องดิจิทัลโดยรวมกำลังหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเข้ามาของสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ผลิตกล้องต้องปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด โดย Canon เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดมืออาชีพและกล้องระดับไฮเอนด์ ในขณะที่ Sony ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนากล้องระดับกลางและระดับสูงเช่นกัน
การแข่งขันในตลาดกล้อง Mirrorless รุ่นเรือธง ระหว่าง Canon, Sony และ Nikon จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต และ EOS R1 จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะชี้วัดความสำเร็จของ Canon ในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดนี้
อ้างอิง: