กัมพูชาเปิดคูหาเลือกตั้งเช้านี้ คาด ฮุน เซน ชนะไร้คู่แข่ง

กัมพูชาเปิดคูหาเลือกตั้งแล้วในช่วงเช้าวันนี้ (23 กรกฎาคม) ซึ่งบรรยากาศการเลือกตั้งนั้นเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ขณะที่ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ได้ออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน

คูหาเลือกตั้งของกัมพูชาเปิดทำการในช่วงเวลา 07.00 น. ของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีประชาชนเดินทางมาลงคะแนนเสียงกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึง ฮุน เซน ที่มาใช้สิทธิของตนเองตั้งแต่ช่วงเช้า

การเลือกตั้งครั้งนี้คือการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 7 ของประเทศ นับตั้งแต่ที่องค์การสหประชาชาติสนับสนุนการเลือกตั้งในกัมพูชาเมื่อปี 1993 หลังจากที่ประเทศผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งอันยาวนาน โดยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปีนี้อยู่ที่ราว 9.7 ล้านคน และจะปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 15.00 น.

อย่างไรก็ดี เป็นที่คาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่า ฮุน เซน ซึ่งนั่งเก้าอี้ผู้นำกัมพูชามาแล้วถึง 38 ปีจะสามารถคว้าชัยในการเลือกตั้งได้อีกสมัย เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ฮุน เซน นั้น ‘ไร้คู่แข่ง’

เนื่องจากเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กัมพูชาได้สั่งตัดสิทธิห้ามพรรคแคนเดิลไลต์ (Candlelight Party) ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไป โดยพรรคแคนเดิลไลต์เป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่เพียงพรรคเดียวที่หลายคนมองว่ามีภาษีมากพอที่จะต่อกรกับพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party: CPP) นอกจากนี้ ฮุน เซน ยังสั่งลงดาบปราบปรามผู้เห็นต่าง ขังคุกคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเอง ปิดสื่ออิสระ และบีบให้นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ

สื่อทุกสำนักรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า พรรค CPP ของฮุน เซน มีแนวโน้มที่จะรักษาที่นั่งในสภาล่างไว้ได้ทั้งหมด 125 ที่นั่ง ซึ่งจะต่ออายุให้เขาได้มีโอกาสกุมชะตาของกัมพูชาต่อไปอีกครั้ง และยังเป็นการปูทางสู่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจไปยัง ฮุน มาเนต ทายาทของเขาด้วย

โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ (20 กรกฎาคม) ฮุน เซน ออกมาส่งสัญญาณชัดเจนว่าลูกชายของเขา ‘อาจ’ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ใน 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า ขึ้นอยู่กับว่า ‘ฮุน มาเนต จะทำได้หรือไม่’ โดยฮุน มาเนต จำเป็นต้องคว้าที่นั่งในรัฐสภาให้ได้ เพื่อก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

แม้ฮุน เซน จะพยายามฉายภาพว่าการเมืองกัมพูชานั้น ‘เป็นประชาธิปไตย’ เพราะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีพรรคเล็กพรรคน้อยอีก 17 พรรคที่เข้าร่วมการแข่งขันด้วย แต่ถึงเช่นนั้นกลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองก็ได้คัดค้านอย่างหนัก เพราะพรรคฝ่ายค้านและบุคคลที่มีความโดดเด่นทางการเมืองรายอื่นๆ ต่างถูกตัดสิทธิไปหมดแล้ว ขณะที่หลายคนถูกสั่งจับเข้าคุกเสียด้วยซ้ำ ทำให้นักวิจารณ์บางคนนำภาพของการเมืองกัมพูชาในขณะนี้ไปเทียบเคียงกับการเมืองของเกาหลีเหนือ ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ