×

รัฐบาลยืนยัน​กัมพูชา​ละเมิด​ Joint Declaration​ ชัดเจน​ พบความพยายามเข้าพื้นที่อธิปไตยไทย​ วางทุ่นระเบิดใหม่​ ย้ำไม่ปล่อย​ 18 เชลยศึก จนกว่าเป็นปรปักษ์​สิ้นสุดลง

โดย THE STANDARD TEAM
17.11.2025
  • LOADING...
รัฐบาลยืนยัน กัมพูชา ละเมิด Joint Declaration ชัดเจน พบความพยายามเข้าพื้นที่อธิปไตยไทย วางทุ่นระเบิดใหม่ ย้ำไม่ปล่อย 18 เชลยศึก จนกว่าเป็นปรปักษ์สิ้นสุดลง

วันนี้ (17 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยหน่วยงานด้านความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ

 

สิริพงศ์กล่าวว่า ตั้งแต่ 10 พฤศจิกายนที่มีเหตุอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น คือทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดที่ทหารกัมพูชาวาง หลังลงนามปฏิญญาสันติภาพ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ มากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้องทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าหลังจากที่ข้อมูลนั้นออกไปแล้ว ผ่านการนำเสนอข่าวสารต่างๆ อาจจะมาในห้วงเวลาที่แตกต่างกัน อาจจะนำมาซึ่งความสับสนของสังคมว่าสรุปแล้วสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเดินหน้าเจรจาการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศจะเป็นอย่างไร

 

ดังนั้นวันนี้จึงเป็นที่มาของการมานำเสนอข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนทุกคนรับทราบว่า ก้าวย่างต่อไปจากนี้รัฐบาลภายใต้การนำของอนุทิน ชาญวีรกูล ขอยืนยันว่านายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา และต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพื่อนำมาซึ่งประโยชน์สุขของคนไทยและดำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติไทย
พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสถานการณ์ด้านความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เหตุการณ์ทหารได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม ถึงก่อน 10 พฤศจิกายน 2568 ยอดทหารผู้บาดเจ็บรวม 16 นาย บาดเจ็บขาขาด 6 นาย บาดเจ็บจากแรงกระแทก 10 นาย แต่หากรวมเหตุการณ์ทั้งหมด ยอดผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 20 นาย บาดเจ็บขาขาด 7 นาย ได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกและสะเก็ดระเบิดจำนวน 13 ราย ซึ่งพื้นที่ต่างๆ ที่เกิดเหตุล้วนเป็นพื้นที่ในอธิปไตยของไทย ซึ่งยังเป็นข้อสงสัยตลอดเวลาว่าเหตุใดจึงมีทุ่นระเบิดในพื้นที่เหล่านี้ เนื่องจากที่ผ่านมา มีหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

 

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่อยู่ในอาณาเขตของไทย อย่างล่าสุดบริเวณห้วยตามาเรีย มะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ลาดตระเวนประจำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุลักษณะนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้บาดเจ็บขาขาด 1 นาย บาดเจ็บจากแรงกระแทกและสะเก็ดระเบิด 3 ราย ซึ่งบริเวณดังกล่าวยังพบทุ่นระเบิด PMN-2 อีก 3 ลูก การวางลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่ามุ่งประสงค์ต่อชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้ทุพพลภาพ และเป็นพื้นที่ขุดใหม่

 

สำหรับหลักการปฏิบัติที่ผ่านมา ไทยในฐานะภาคีกับอนุสัญญาออตตาวา ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ทั้งการรายงานต่อคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้แจงว่าไทยไม่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในการครอบครอง

 

ขณะที่การวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา น่าจะเป็นการวางใหม่ เพราะผู้ที่จะสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่ได้ในพื้นที่ชายแดนระหว่างสองประเทศ คงไม่ใช่ฝ่ายไทย เนื่องจากไทยไม่มีทุ่นระเบิดในครอบครอง จึงเป็นทางกัมพูชาเป็นหลัก สังเกตได้จากสภาพของ PMN-2 ที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ และสภาพพื้นผิว รวมถึงสภาพดิน
ส่วนหลักฐานอีกหนึ่งอย่างคือชิ้นส่วนที่ตรวจพบหลังจากที่กำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด จะเห็นได้ว่าชิ้นส่วนของ PMN-2 อยู่ในพื้นที่อย่างชัดเจน ประกอบกับคลิปวิดีโอหลักฐานที่ชัดเจน

 

ทั้งนี้ มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการละเมิดถ้อยแถลงสันติภาพ (Joint Declaration) ที่ลงนามระหว่างไทยและกัมพูชา มีความพยายามเข้ามาในดินแดนไทยเพื่อวางทุ่นระเบิด และกัมพูชาไม่ได้ใช้สันติวิธี รวมถึงใช้อาวุธแทรกซึม ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และเป็นภัยคุกคามอย่างชัดเจน
ในอนาคต จากการละเมิด Joint Declaration ฝ่ายไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะระงับการปฏิบัติร่วมตามแผน Action Plan ในการถอนอาวุธหนัก ซึ่งถือว่าทุกอย่างต้องชะลอและหยุดไว้ก่อน

 

แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทยใน 13 พื้นที่ และกองทัพไทยยืนยันความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดน รวมถึงยังคงปราบปรามสแกมเมอร์ เก็บกู้ทุ่นระเบิด และเดินหน้าปักปันหมุดชั่วคราวอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

 

ส่วนการปล่อยเชลยศึกทั้ง 18 คน จะเป็นเรื่องสุดท้าย เมื่อเห็นว่ากัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ ซึ่งต้องดูจากความจริงใจและความรับผิดชอบของฝ่ายกัมพูชา โดยเหตุการณ์วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทำให้การประชุมระหว่างคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ทั้งสองฝ่ายชะงักลง

 

พล.ร.ต. สุรสันต์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า การวางทุ่นระเบิดไม่ใช่หลักเขตแดน ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพราะเป็นอาวุธที่ทำร้ายบุคคล และส่งผลกระทบต่อชีวิตจิตใจของผู้บาดเจ็บและครอบครัว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมอนุสัญญาออตตาวาจึงพยายามห้ามการใช้

 

ขณะที่ นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการทันทีในทุกระดับ โดยสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โทรศัพท์ประท้วงไปยังรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาถึงสองครั้ง และทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย

 

นอกจากนี้ ได้หารือกับสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย โดยนายกรัฐมนตรีทำหนังสือถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อย้ำว่าไทยยึดมั่นในเส้นทางสันติภาพ เคารพประกาศร่วม แต่จากการละเมิดของกัมพูชา ไทยจำเป็นต้องสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน ไทยจะกลับไปปฏิบัติตามอีกครั้งเมื่อกัมพูชาปฏิบัติตาม

 

สำหรับการหารือกับผู้นำสองประเทศที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือการแยกเรื่องทวิภาคีไทย-กัมพูชาออกจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และไทยได้ขอให้ประธานอาเซียนช่วยฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพ โดยต้องการให้กัมพูชากล่าวขอโทษ แสดงความรับผิดชอบ และป้องกันเหตุซ้ำ

 

นิกรเดชยังระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวาไปยังญี่ปุ่นในฐานะประธานการประชุมภาคี รวมถึงทำหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UNSG) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เกี่ยวกับการลุกล้ำอธิปไตยไทย

 

นิกรเดชกล่าวต่อว่า ไทยจะเดินหน้าชี้แจงต่อประชาคมโลก โดยสีหศักดิ์จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอินโด-แปซิฟิก (IPMF) ครั้งที่ 4 และแถลงข่าวต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ ไทยจะยกประเด็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาในที่ประชุมภาคีรัฐอนุสัญญา ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคม ที่นครเจนีวา

 

นอกจากนี้ ไทยยังเดินหน้าประเด็นสำคัญในการประชุมอาเซียนและเอเปก คือการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในเดือนธันวาคมนี้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising