×

ทำไม Cadillac ถึงอยากมีส่วนร่วมในศึก F1

26.11.2024
  • LOADING...
Cadillac F1

ไม่กี่วันหลังจากที่ Max Verstappen คว้าแชมป์โลก F1 เป็นสมัยที่ 4 ทางฝั่ง F1 ก็มีข่าวใหญ่อีกครั้ง ทั้งที่ในสัปดาห์ต่อไปมีการแข่งขันในศึกกาตาร์กรังด์ปรีซ์รออยู่

 

ข่าวใหญ่ที่ว่าคือการบรรลุข้อตกลงของ General Motors หรือ GM ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ในการให้แบรนด์ Cadillac เข้าร่วมศึก F1 เป็นทีมที่ 11 ในฤดูกาล 2026

 

ดีลดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2016 ที่ F1 จะกลับมามี 11 ทีม 22 นักขับอีกครั้ง หลังทีมเมเนอร์ เรซซิง ถอนตัวออกจากการแข่งขันหลังจบฤดูกาลดังกล่าว

 

หลังจากนั้นตลอดเวลาเกือบทศวรรษ F1 ก็แข่งขันในระบบ 10 ทีม 20 นักขับมาตลอด และระบบดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในฤดูกาล 2026 ที่กำลังจะถึงนี้

 

แต่เพราะอะไรที่ทำให้ F1 ยอมรับข้อตกลงกับ GM ในการเพิ่มทีมคราวนี้ และเพราะอะไร GM ถึงกระโดดเข้ามาร่วมแข่งขันบนเวทีนี้

 

การตลาด: ความร้อนแรงในศึก F1 ที่ทำให้แบรนด์อเมริกันอยากมีส่วนร่วม

 

 

 

อาจจะเป็นเพราะซีรีส์ Formula 1: Drive to Survive ที่ออนแอร์มาตั้งแต่ปี 2019 ก็ได้ที่ปลุกกระแส F1 ในสหรัฐฯ ให้ตื่นขึ้นอย่างมีนัย

 

อันที่จริงแล้วแฟนๆ ต่างรู้กันดีว่าศึก F1 เป็นที่นิยมมากกว่าในภาคพื้นยุโรป และแบรนด์ดังที่ขับเคี่ยวชิงชัยในศึก F1 ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ยุโรปทั้งสิ้น

 

ก่อนการมาถึงของทีมฮาส F1 ในปี 2016 ครั้งสุดท้ายที่มีทีมอเมริกันในศึกรถสูตร 1 ก็ต้องย้อนไปถึงปี 1986 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ทีมฮาส แอลทีดี ร่วมแข่งขันในครั้งนั้น

 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวอเมริกันจะไม่ค่อยอินและมีส่วนร่วมกับ F1 มากสักเท่าไร แม้ว่า F1 จะไปแข่งขันในสหรัฐฯ ในรายการยูเอสกรังด์ปรีซ์มาตั้งแต่ปี 2012 แล้วก็ตาม

 

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากระแสการแข่งขัน F1 เติบโตในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งข้อสันนิษฐานก็อย่างที่กล่าวไป คือการมาของซีรีส์ Formula 1: Drive to Survive

 

เพราะนับตั้งแต่นั้นมา F1 ก็เติบโตอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ จนทำให้ในปัจจุบันประเทศนี้เป็นเจ้าบ้านจัดการแข่งขันมากถึง 3 สนาม ในศึกไมอามีกรังด์ปรีซ์ ยูเอสกรังด์ปรีซ์ และลาสเวกัสกรังด์ปรีซ์

 

ไม่ใช่แค่ความต้องการรับชมจากแฟนๆ เท่านั้นที่มากขึ้น แต่ความต้องการด้านการตลาดและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน

 

หนึ่งในนั้นคือ Ford แบรนด์สัญชาติอเมริกันคู่แข่งของ GM ก็กำลังจะหวนกลับมาสู่วงการ F1 อีกครั้งในการจับมือกับทีมเรดบูล เรซซิง ในการให้การสนับสนุนด้านเครื่องยนต์ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

 

นั่นทำให้ทาง GM เองก็รู้สึกว่าคงถึงเวลาแล้วที่พวกเขาควรจะมีส่วนร่วมในการแข่งขัน F1 เสียที เพราะหากพวกเขาทำสำเร็จ นี่จะเป็นส่วนแบ่งการตลาดก้อนใหญ่ที่พวกเขาพึงจะได้รับในการเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันยานยนต์ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก

 

และจากความพยายามล้มเหลวก่อนหน้านี้ ในที่สุดการยืนยันว่า GM จะได้เป็นส่วนหนึ่งของ F1 ก็มาถึงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (25 พฤศจิกายน) หลังมีการออกแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อคอนเฟิร์มว่า GM จะเป็นส่วนหนึ่งของ F1 ฤดูกาล 2026 ในนามทีมคาดิลแลค F1

 

ภาพลักษณ์: ก้าวที่ยิ่งใหญ่ภายใต้ธงชาติสหรัฐฯ

 

Cadillac F1

 

 

การมีส่วนร่วมกับ F1 ของ GM ในครั้งนี้ พวกเขาต้องยอมจ่ายเงินชดเชยค่าเสียผลประโยชน์ของทีมต่างๆ ทั้ง 10 ทีมที่อยู่ในการแข่งขันอยู่แล้วเป็นเงินถึง 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.56 หมื่นล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้จะถูกแบ่งให้กับทีมทั้ง 10 ทีม เพื่อชดเชยรายได้จากตัวหารที่มากขึ้นเมื่อทีมคาดิลแลคเข้ามามีส่วนร่วม

 

ตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ที่ GM จะถอนทุนคืนได้ภายในไม่กี่ปี แต่สิ่งที่พวกเขาจะได้อาจจะมีประโยชน์มากกว่านั้น

 

อันที่จริงแล้ว GM ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการมอเตอร์สปอร์ต ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ด้วยซ้ำไป เพราะแบรนด์ภายใต้ GM ทั้ง Chevrolet, Pontiac, Oldsmobile และ Buick สร้างประวัติศาสตร์ชัยชนะสูงสุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน NASCAR เกือบ 1,200 ครั้งในการแข่งขัน Cup Series

 

และหากนั่นยังดูยิ่งใหญ่ไม่พอ ก็ต้องบอกว่าลำพังแค่ทีมเชฟโรเลตทีมเดียวก็สามารถคว้าแชมป์ประเภททีมผู้ผลิตในศึก NASCAR ได้ถึง 43 ครั้ง โดยทิ้งทีมคู่แข่งอย่างฟอร์ดแบบไม่เห็นฝุ่น เพราะทีมฟอร์ดคว้าแชมป์ประเภทนี้ได้เพียง 17 ครั้ง

 

และเมื่อกระโดดข้ามไปที่ฝั่งยุโรป ทีมคาดิลแลค เรซซิง และทีมคอร์เวตเต เรซซิง ก็สามารถคว้าชัยชนะในประเภทเดียวกันที่เลอมังส์มาแล้วถึง 9 ครั้ง

 

แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับตลาดในศึก F1 เพราะทาง NASCAR ก็ดูเหมือนจะมีคนดูเป็นตลาดในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเลอมังส์ แม้จะเป็นตลาดต่างประเทศ แต่คนดูก็ยังน้อยกว่า F1 อย่างเห็นได้ชัด

 

การมีส่วนร่วมในศึก F1 ทำให้พวกเขาจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดยุโรป และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงใช้ชื่อว่าทีมคาดิลแลค F1 ตามแบรนด์ Cadillac มากกว่าจะเป็น Chevrolet หรือแม้แต่ชื่อบริษัทอย่าง GM เพราะ Cadillac เป็นแบรนด์ที่คนยุโรปและอาจจะรวมไปถึงเอเชียรู้จักมากกว่าและให้ภาพลักษณ์ที่หรูหรากว่า ซึ่งสามารถต่อสู้กับแบรนด์อย่าง Ferrari, Mercedes-Benz หรือ McLaren ได้นั่นเอง

 

นอกจากนี้ อาจจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีก็ว่าได้ แต่ปัจจุบันทีมสัญชาติอเมริกันอย่างทีมฮาสซึ่งมีความเกี่ยวพันเพียงเล็กน้อยกับสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถแสดงออกถึงศักยภาพของอเมริกันได้อย่างเต็มที่

 

ทีมคาดิลแลค F1 จึงต้องการที่จะเป็นผู้นำธงชาติของสหรัฐฯ บนเวทีระดับนานาชาติ เหมือนอย่างที่ Mark Reuss ประธาน GM กล่าวเอาไว้หลังบรรลุข้อตกลงว่า

 

“ในฐานะที่ F1 เป็นจุดสุดยอดของกีฬามอเตอร์สปอร์ต จึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นเลิศที่ก้าวข้ามขีดจำกัด

 

“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับ General Motors และ Cadillac ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์การแข่งรถระดับชั้นนำของโลก และเรามุ่งมั่นที่จะแข่งขันด้วยความหลงใหลและความซื่อตรง เพื่อยกระดับกีฬานี้ให้สูงขึ้นสำหรับแฟนๆ ของมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก

 

“นี่คือเวทีระดับโลกสำหรับเราที่จะแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของ GM ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน”

 

ความฝัน: การรอคอยของ Andretti

 

 

 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันดีลนี้ให้ประสบความสำเร็จและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ นั่นคือความฝันของ Michael Andretti

 

Andretti คือใคร

 

Andretti คือผู้ร่วมก่อตั้ง Andretti Global เขาเป็นผู้ผลักดัน TWG ซึ่งเป็นหุ้นส่วนสำคัญกับ GM ในการเข้าสู่ F1 ในครั้งนี้

 

TWG มีนักลงทุนหลายราย หนึ่งในนั้นคือ Mark Walter และ Dan Towriss ซึ่ง Towriss คนนี้เองเป็นเจ้าของ Andretti Global ในปัจจุบัน

 

อันที่จริงในปี 2023 Andretti เคยมีความพยายามในการผลักดัน GM เข้าสู่ F1 มาแล้ว แต่ความพยายามในครั้งนั้นโดนทาง F1 ปฏิเสธไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

 

คำปฏิเสธดังกล่าวของ F1 ทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการสอบสวนจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการตัดสินใจปฏิเสธคำขอเข้าร่วมดังกล่าวตามกฎหมายป้องกันการผูกขาด แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะลงเอยด้วยดีเมื่อดีลรอบใหม่คราวนี้ลุล่วง

 

คำถามต่อมาคือ ทำไม Andretti ถึงต้องพยายามขนาดนั้น

 

คำตอบของคำถามนี้เรียบง่ายกว่าที่คิด เพราะมันคือความฝันของเขา

 

Andretti เป็นลูกชายของ Mario Andretti นักขับ F1 เจ้าของแชมป์โลกในปี 1978 ซึ่งเป็นยุคสมัยเดียวกับตำนานหลายคนทั้ง Niki Lauda, Emerson Fittipaldi หรือ Gilles Villeneuve

 

ขณะที่ Andretti ก็เคยมีส่วนร่วมกับ F1 เขาลงแข่งขันให้กับทีมแม็คลาเรนอยู่ 1 ฤดูกาลในปี 1993 แม้จะแข่งขันไม่ครบฤดูกาล หลังลงแข่งขันไป 13 จากทั้งหมด 16 เรซในฤดูกาลนั้น แต่เขาก็รัก F1 มาตลอด เช่นเดียวกับความผูกพันที่พ่อของเขามี

 

การเป็นส่วนหนึ่งของ F1 จึงเป็นหนึ่งในความฝันของพ่อลูก Andretti นับตั้งแต่วันแรกที่เขาก่อตั้ง Andretti Global และแม้ปัจจุบันเขาจะก้าวลงจากตำแหน่งในทีมไปแล้ว แต่ก็ยังคงเดินหน้าตามความฝันอย่างเต็มที่ แม้ตัวเขาจะอายุ 62 ปี และพ่อของเขาจะอายุ 84 ปีแล้วก็ตาม

 

โดยหลังจากมีการยืนยันการเข้าร่วมศึก F1 ของ GM และทีมคาดิลแลคแล้ว Andretti ผู้พ่อกล่าวว่า “รู้สึกโชคดีมากที่ผมสามารถอยู่มาได้นานขนาดนี้และทำในสิ่งที่ผมรักมานานมาก

 

“และความคิดที่ว่าทีมคาดิลแลค F1 อยากให้ผมอยู่ช่วยนั้น ผมบอกเลยว่าจะช่วยเท่าที่ทำได้ โดยจะเป็นบทบาทที่ไม่มีอำนาจบริหารในทีม ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานประจำวัน (เพราะผมไม่ต้องการงาน) แต่จะให้คำแนะนำ แรงบันดาลใจ และมิตรภาพทุกที่ที่ผมทำได้ ผมโชคดีมากจริงๆ”

 

ความน่าจะเป็น: แฟนๆ จะได้เห็นอะไรจากการเข้ามาของทีมคาดิลแลค

 

 

 

การเข้ามาของทีมคาดิลแลคในฤดูกาล 2026 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกฎเรื่องรถยนต์ใหม่ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี เพราะการเพิ่มบทบาทในการทำงานของส่วนไฮบริดของเครื่องยนต์เป็นประมาณ 50% ทำให้ทุกทีมต้องทำการบ้านใหม่ทั้งหมด

 

แต่ถึงอย่างนั้นเวลาปีเศษน่าจะยังสั้นเกินไปที่ทีมคาดิลแลคจะมีเครื่องยนต์เป็นของตัวเอง แต่พวกเขาก็ยืนยันความตั้งใจที่จะสร้างเครื่องยนต์ของตัวเองภายใน 1 ทศวรรษ

 

นั่นแสดงถึงการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ของ GM ในกีฬามอเตอร์สปอร์ต ซึ่งประสบความสำเร็จในการแข่งขันมาหลายทศวรรษ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับประเทศ

 

ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า GM แทบไม่เคยมีส่วนร่วมกับการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตในระดับนานาชาติอย่างจริงจังมาก่อน แม้ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์เบอร์ 1 ของทวีปอเมริกาก็ตาม

 

การมีส่วนร่วมของพวกเขานอกจากจะทำให้ F1 ได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ และความก้าวหน้าทางวิศวกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ แล้ว อีกสิ่งที่จะได้เห็นคือการทำงานในด้านกีฬาของสหรัฐฯ ที่เรียกได้ว่า ‘ขึ้นชื่อ’ หากพวกเขาเอาจริง และการลงทุนของ GM ในเม็ดเงินต่างๆ ก็ยืนยันว่าพวกเขา ‘เอาจริง’ จริงๆ

 

นั่นอาจจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในขั้วอำนาจของศึก F1 หลังจากที่พวกเขาเข้ามาก็ได้

 

ถึงจะเป็นเรื่องราวในอนาคต แต่ก็เป็นอนาคตอันสั้น และเราอาจจะได้เห็นศึก F1 ที่ดุเดือดกว่าที่เป็นในตอนนี้ก็ได้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X