THE STANDARD WEALTH ร่วมคณะ ส.อ.ท. ชมโรงงาน ประกอบ โรงแบตเตอรี่ และโรงเชื่อม ของ บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (BYD) ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จ.ระยอง พร้อมสัมภาษณ์ เซียว ไห่ ผิง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักประธานกลุ่ม บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด
โดยเซียว ไห่ ผิง เผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่ BYD ประเทศไทย เปิดไลน์ผลิตโรงงานให้คณะสื่อฯ เข้าเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของ BYD ในการสื่อสารสาธารณชนได้รู้จักแบรนด์มากขึ้น
เซียว ไห่ ผิง เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตและแนวโน้มตลาด รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ว่า การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ของ BYD ในไทยเติบโตต่อเนื่องและเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“สะท้อนจากภายหลังเปิดไลน์ผลิตเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 มีกำลังการผลิตสะสมแล้วกว่า 55,000 คัน และคาดว่าทั้งปีนี้ 2568 จะผลิตได้กว่า 40,000 คัน หรือเกือบเต็มศักยภาพการผลิต โดยกำลังผลิตเฉลี่ยเดือนละ 5,000-6,000 คัน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- บุกซีอานชมเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid เอกสิทธิ์ลับฉบับ ‘BYD’ ที่ใช้เวลาพัฒนา 15 ปี ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งถึง 1,200 กม. กับทางเลือก Hybrid หรือ EV 100%?
- เปิดชื่อแบรนด์รถยนต์ EV จีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย เริ่มเดินสายพานปี 2567-2568 กำลังผลิตเท่าไร ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง
- อีลอน มัสก์ สัญญาจะกอบกู้ Tesla ให้กลับมาโตอีกครั้ง แต่ไม่ง่าย! เพราะถูก BYD แย่งส่วนแบ่งตลาดไปแล้ว
- ทำไม ‘ฮอนด้า’ เลือกที่จะปิดไลน์ผลิตรถยนต์ที่ ‘อยุธยา’ ย้ายไปโรงงานปราจีนบุรีที่เดียว สัญญาณนี้กำลังบอกอะไรกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย

ปัจจุบันโรงงานมีพนักงานกว่า 5,800 คน โดยเป็นแรงงานไทยถึง 92% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 80% และคาดว่าปลายปีนี้จะขยับเป็น 95% ของทั้งหมด โดยในจำนวนนี้มีผู้บริหารประมาณ 40 คน และวิศวกรกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย
นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษากว่า 20 แห่ง รับนักเรียน นักศึกษาฝึกงานต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ตลอดจนรับเข้าทำงาน
โดย BYD มีสัดส่วนผลิตชิ้นส่วน (Local Content) อยู่ที่ 54% เพิ่มขึ้นจาก 45% เมื่อปีก่อน ซึ่งมีผู้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่องซัพพลายเชนท้องถิ่นกว่า 35 ราย และมีความร่วมมือในประเทศกว่า 529 ชิ้นส่วน (Part) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการสร้างฐานการผลิตในไทย
“แม้ในช่วงปีนี้หรือ 2-3 ปี เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ายังเติบโตดี ด้วยเทรนด์และราคา ประกอบกับผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่บริษัทให้ความสำคัญก็สามารถทำได้ดี”

ย้ำไทย ‘ดีทรอยด์’ ผู้ผลิตรถยนต์ท็อป 10 ของโลก
จากตัวเลขตลาดยานยนต์ในไทยปีนี้ ที่คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 600,000 คัน ในจำนวนนี้ 100,000 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงสะท้อนว่าไทย ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นดีทรอยด์และประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก
นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังการผลิตเต็มศักยภาพของโรงงานอยู่ที่ 150,000 คันต่อปี และมีแผนเดินสายการผลิต 2 กะ เพื่อรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
“ตลาด EV ไทยยังคงมีความท้าทาย ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็นโอกาสทองที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV Hub) ของภูมิภาค โดยเฉพาะรัฐบาลสนับสนุนมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น”
ชงรัฐบาลไทย ต่อยอดไปสู่ EV 4.0-4.5
โดยที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการผลิตตามมาตรการ EV-3.0-3.5 ได้ดี ซึ่งหากรัฐบาลสามารถต่อยอดไปสู่ EV4.0-4.5 จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าส่งออกรถยนต์รวม 10,000 คัน โดยหลังจากวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สามารถส่งออกแล้ว 959 คัน
ขณะที่สัดส่วนการส่งออกทั้งหมดนั้นมากกว่า 3,300 คัน ส่งไปยังตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี และเบลเยียม รวมถึงเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“แม้ว่าจะมีการแข่งขันด้านราคา บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของศูนย์บริการทั่วประเทศ เพื่อยกระดับบริการหลังการขาย พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง เทคโนโลยี AI และระบบอัจฉริยะ ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทย”

ส.อ.ท. วอนใช้ชิ้นส่วนในไทยเพิ่ม กระตุ้นศก. – จ้างงานคนไทย
ด้านนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนไทย ต้องการให้บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่จากจีน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้มากขึ้น
“แม้ว่าต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าเล็กน้อยจากค่าไฟฟ้า แต่การสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น การจ้างงาน และภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมไทย”
ทั้งนี้ ปัจจุบันแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนลดลงเหลือประมาณ 400,000 คน จากเดิมกว่า 600,000 คน เนื่องจากการใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ หากโรงงานต่างชาติในไทยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจ้างงานในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเป็น ฐานการผลิตรถไฟฟ้า (EV) แห่งใหม่ของอาเซียนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน ภูมิศาสตร์ และนโยบายสนับสนุนการผลิต ทำให้ตลาด EV โตต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีราว 16 บริษัท เข้ามาลงทุนโรงงานผลิตรถไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่ากว่า 7.5 หมื่นล้านบาท
ภาพ: Tomohiro Ohsumi / Getty images


 
         
           
                                 
            





 
                                                     
                                         
                                             
                                                 
                                                     
                                                         
                 
                 
                 
                 
                 
                