ต้องยอมรับว่าโควิดทำให้หลายภาคส่วนอุตสาหกรรมธุรกิจต่างได้รับผลกระทบกันเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็มีภาคของอสังหาริมทรัพย์ที่ดูจะซบเซาต่อแรงซื้อขายค่อนข้างมาก การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดจึงเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะสามารถสร้างยอดขายได้คริปโตเคอร์เรนซี จึงกลายเป็นอีกหนึ่งกระแสที่มาแรงในช่วงที่ผ่านมาของภาคอสังหาริมทรัพย์
พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ข้อมูลกับทีมงาน THE STANDARD WEALTH ว่า ช่วงต้นปีผ่าน เริ่มมีผู้ประกอบการนำ คริปโตเคอร์เรนซีเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มทางการตลาดเข้ามาเป็นตัวช่วยเพิ่มช่องทางการซื้อมากขึ้น โดยการรับสกุลเงินดิจิทัลบางชนิด เช่น Bitcoin Ethereum เป็นต้น ซึ่งฐานลูกค้าจะเป็นคนรุ่นใหม่อายุน้อย โดยการจองหรือซื้อได้ทันที ต้องดูที่ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทที่ออกมา
แม้ว่าการซื้อบ้านหรือคอนโดผ่านคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin จะสามารถทำให้การซื้อขายได้สะดวกและง่ายมากขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องอัตราแลกเป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคล้ายกับการนำเงินดอลลาร์สหรัฐมาซื้อก็ต้องดูเรื่องค่าเงินในแต่ละวัน สมมติวันนี้ค่าเงินบาท 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2-3 วันขึ้นเป็น 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฉะนั้นต้องดูเรื่องของความผันผวนเป็นหลัก หากพรุ่งนี้จะทำการซื้อบ้านและราคา Bitcoin ตกก็ต้องทำการประเมินวางแผนให้ดี ไม่เหมือนกับการนำเงินบาทมาซื้อเลยซึ่งไม่ต้องกลัวในเรื่องของความผันผวน
ทั้งนี้เพราะการเทรด Bitcoin ในประเทศไทย มีบริษัทที่ได้ไลเซนส์อยู่ไม่กี่ราย และยังเป็นการเทรดบนกระดาน โดยการเปิดบัญชี เมื่อลูกค้าโอนผ่านมือถือเข้ามาและสามารถแลกกลับมาเป็นเงินบาทได้ แต่ยังไม่เหมือนกับสหรัฐฯ หรือฮ่องกง ที่มีตู้เหมือน ATM ให้ลูกค้าสามารถเข้าไปกดแลกเปลี่ยนเงินได้เลย
“การซื้ออสังหาริมทรัพย์ สำหรับต่างชาติที่นำ Bitcoin มาใช้ โดยเฉพาะคนจีนที่มีการลงทุนประเภทนี้เยอะ เนื่องจากหากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว รัฐบาลจีนได้ออกกฎมาว่า ห้ามให้ประชาชนชาวจีนนำเงินหยวนออกไปซื้ออสังหาต่างชาติหรือแห่นำเงินออกนอกประเทศกัน จึงจำกัดวงเงินออกนอกประเทศได้แค่คนละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีต่อคนเท่านั้น แต่พอเป็น Bitcoin รัฐบาลจีนก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะมองว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายไปแล้ว แต่ปรากฏว่า ทั้งคนจีนเอง และรัฐบาลจีนต่างมี Bitcoin เป็นจำนวนมาก”
สำหรับเทรนด์การลงทุนในปีหน้า หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศเปิดเมืองแล้วนั้น ต้องยอมรับว่า หลังจากที่มีการคลายล็อกดาวน์ ส่งผลให้ลูกค้าเข้ามาดูโครงการต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ และกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสามารถซื้อบ้านในราคาแพงได้ และบางกลุ่มก็ยังสามารถซื้อเงินสดได้อยู่บ้าง ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองนั้นมีความเข้มงวดใส่หมวกกันน็อกในการปล่อยกู้สินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจในเศรษฐกิจ
“หากย้อนกลับไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการบ้านประปรายไม่ได้หยุด ขณะที่คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่เปิดขายราคาถูกไม่สูงมาก ในระดับราคาล้านต้นๆ มีหลายเจ้าออกมาเยอะ แต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับการเปิดตัวใหม่ของอสังหาฯ ในทุกๆ ปี ปรับลงเยอะ 30-40% แต่ว่ายูนิตรวมมันจะไปลงที่แนวราบที่เปิดตัวกัน บางจังหวัดใหญ่ๆ หมู่บ้านจัดสรรเปิดตัวกันอย่างคึกคัก ราคาอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มลูกค้าระดับกลาง”
ด้าน พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมงาน THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ถือเป็น Transaction ใหญ่ของคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่คริปโตเคอร์เรนซีมีราคาปรับขึ้นได้ดี นักลงทุนเองก็จะย้ายไปยังช่องทางการลงทุนอื่นๆ ได้อย่างสะดวกแบบไม่มีลิมิต สามารถโอนได้เป็น 1,000 ล้านบาท ภายใน 10 นาที จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่นักลงทุนจะนำเงินใน E-Wallet มาเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้
อย่างไรก็ดี ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา บริษัท ได้ร่วมกับ บิทคับ (Bitkub) ให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายบ้านและคอนโดมิเนียมในเครือออริจิ้นทุกโครงการครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผ่านสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกรองรับนักลงทุนสายเทรด รวมถึงให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อขายคอนโดมิเนียมในเครือออริจิ้นได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการโอนเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี มีขั้นตอนที่สะดวกกว่าและใช้เวลารวดเร็วกว่าการโอนเงินในสกุลปกติ เป็นการช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำธุรกรรมแบบไร้พรมแดนอีกด้วย
โดยที่ผ่านมาบริษัทรองรับการซื้อขายบ้านและคอนโดมิเนียม ผ่านเหรียญ 3 สกุลที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Ethereum (ETH) เทเทอร์ Tether USD (USDT) และ Bitcoin (BTC) โดยผู้ซื้อสามารถชำระผ่าน Wallet จากบัญชี Bitkub ปัจจุบันน่าจะมีประมาณ 10 รายที่เข้ามาซื้อแล้ว และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนคนรุ่นใหม่ อายุไม่เยอะแต่มีเงินเร็ว และกระจายพอร์ตไปลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งการที่นักลงทุนคนรุ่นใหม่เลือกที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นมองว่าเป็นการให้รางวัลชีวิต และยังสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้
ทั้งนี้หลังจากที่รัฐบาลประกาศคลายล็อกดาวน์ มีการเปิดประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ในปีหน้า Transaction ของคริปโตเคอร์เรนซี คงไม่ใช่แค่อสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์อีกต่อไป อาจจะมีเป็น Transaction ในเรื่องการจับจ่ายใช้สอยอื่นๆ ที่เหมือนกับการจ่ายเงินผ่าน QR Code ออนไลน์ เช่น ในบางประเทศ อย่างอเมริกาใต้ที่รับคริปโตเคอร์เรนซีแทนเงินแล้ว เริ่มเปลี่ยนเงินสกุลท้องถิ่นเป็นคริปโตเคอร์เรนซีไปเลย โดยไม่ต้องมาแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล เช่น บาทเคอร์เรนซี หรือหยวนเคอร์เรนซีอีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นนโยบายของแต่ละประเทศที่จะออกกฎมารองรับ
ขณะที่ภาพรวมของตลาดบ้านจัดสรรช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีโควิดบ้านจัดสรรยังได้รับการตอบรับจากลูกค้า เนื่องจากหลายคนทำงานที่บ้านมากขึ้น จึงต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ขณะที่คอนโดมิเนียมแผ่วไปเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ต้องใช้ร่วมกันทำให้ไม่มีความเป็นส่วนตัว จึงทำให้ได้รับความนิยมลดลงไป
ส่วนในปีหน้าการเติบโตของบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านจัดสรร เพราะโควิดจะเป็นตัวเร่งให้คนอยู่บ้านมากขึ้น ทำงานที่บ้านมากขึ้น เพราะหลายบริษัทใหญ่ อย่างธนาคารใหญ่ๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งทำงานที่ออฟฟิศแล้ว อนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้ ฉะนั้นบ้านจัดสรรก้ยังขายดีอยู่ ขณะที่คอนโดมิเนียม จะกลับมาเพราะว่าเปิดเมือง อีกทั้งคนที่บูสเตอร์โดส (Booster Dose) วัคซีนเข็ม 3 แล้วมีอัตราการติดน้อยลง ทำให้มีความกังวลน้อยลงก็จะกลับมาเป็นชุมชนเมืองมากขึ้น ยอดขายคอนโดก็จะกลับมาอีก
“สงครามการค้า หรือ เทรดวอร์ (Trade war) ช่วง 2-3 ปีที่ต่างชาติหายไป รวมถึงปัจจัยค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ในปีหน้าจะเป็นตัวแรงส่งให้ต่างชาติกลับมาถึงในระดับ 50,000 ล้านบาท เป็นยอดขายคอนโดมิเนียมในเมืองไทย เพราะในอดีตตลาดอสังหาริมทรัพย์เคยทำได้สูงสุดประมาณ 80,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% บวกกับที่รัฐบาลกระตุ้นให้เปิดคอนโดมากขึ้นด้วย”
และจากการที่มติ ครม. อนุมัติให้ชาวต่างชาติที่พำนักในไทย สามารถถือครองที่อยู่อาศัยได้ ในฐานะดีเวลลอปเปอร์มองว่า ประเทศเรามีประชากรน้อย เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย การที่จะเพิ่มจำนวนประชากรที่ดีมีประสิทธิภาพ คนที่มีกำลังซื้อสูง เหมือนเราเพิ่มคนที่เป็น WEALTH เข้ามาผ่านการถือครองอสังหาริมทรัพย์ การเข้า Happy Retirement ในเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เหมือนอย่างประเทศออสเตรเลียมีประเทศเท่ากับสหรัฐอเมริกา แต่มีประชากรแค่ 20-30 ล้านคน ซึ่งก็เปิดรับบุคคลากรที่มีคุณภาพมาขอสัญชาติออสเตรเลียอีกที
สำหรับแผนงานของบริษัท ในปีหน้าเราคงปรับตามตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ตามกระแสความนิยมที่จะกลับมา การที่ต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ หรือบ้านพักต่างอากาศย่านต่างจังหวัด ในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ถือว่ายังคงมีกำลังซื้ออยู่ในปีหน้า รวมถึงมีการบุกเซกเมนต์ใหม่อย่างตลาดผู้สูงวัยรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุด้วยแบรนด์ใหม่ ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ แบรนด์คอนโดมิเนียม Leasehold พร้อมโปรแกรมดูแลผู้สูงอายุ
โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายกว่า 23,000 ล้านบาท โตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 22% คิดเป็น 79% ขณะที่ไตรมาส 4/2564 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเช่นเดียวกับทุกปี คาดว่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างยอดขายใหม่ในช่วงโค้งสุดท้าย หนุนภาพรวมยอดขายทั้งปีสร้างสถิติใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (All Time High) ที่ 29,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ครม. ไฟเขียวมาตรการช่วยเหลืออสังหาริมทรัพย์ภายใต้ Flexible Plus Program เพื่อเป็นการเปิดช่องต่างด้าวในการลงทุน พร้อมกันนั้น ล่าสุด รับข่าวดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV หรือ Loan to Value (มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้กำหนดวงเงินที่ผู้กู้จะสามารถกู้ซื้อบ้านได้) ให้กู้ได้เต็ม 100% ถึงสิ้นปี 2565 หวังช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว สุดท้ายต้องจับตาดูว่าเซกเตอร์อสังหาริมทรัพย์ต่อจากนี้ไปจะมีความคึกคักมากแค่ไหน
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร