หนึ่งในคำแนะนำที่โด่งดังที่สุดของ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนาน ไม่ใช่กลยุทธ์การเลือกหุ้นที่ซับซ้อน แต่เป็นการวางแผนอย่างเรียบง่ายจนน่าประหลาดใจ ที่เขาจัดการไว้ให้ภรรยาของเขา
Warren Buffett ระบุไว้ชัดเจนว่า หากเขาจากไป เงินมรดกส่วนใหญ่ที่ภรรยาของเขาจะได้รับ 90% ให้นำไปลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่มีต้นทุนต่ำ และอีก 10% ให้ถือไว้ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น
คำถามคือ ทำไมชายผู้สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากการเลือกหุ้นด้วยตัวเอง ถึงบอกให้คนที่เขารักที่สุด ‘ไม่ต้องเลือกหุ้น’ เลย
กลยุทธ์ 90/10 คืออะไร?
Warren Buffett ได้อธิบายกลยุทธ์นี้ไว้อย่างเป็นทางการในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ในปี 2013 ใจความสำคัญคือ
คำแนะนำสำหรับกองทรัสต์ที่ดูแลเงินให้ภรรยาหลังจากเขาจากไป
- ใส่เงิน 10% ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น
- และอีก 90% ในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำมาก (Buffett แนะนำของ Vanguard)
Warren Buffett เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้จากนโยบายนี้ในระยะยาว จะเหนือกว่าผลลัพธ์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ได้รับ ซึ่งจ้างผู้จัดการกองทุนที่คิดค่าธรรมเนียมสูง
นี่คือแก่นแท้ของกลยุทธ์ 90/10 ที่เน้นความเรียบง่ายและเชื่อมั่นในตลาดโดยรวม
ทำไม Warren Buffett ถึงสนับสนุน Index Fund?
สำหรับนักลงทุนทั่วไป รวมถึงภรรยาของเขา Warren Buffett เชื่อว่าการพยายามเอาชนะตลาด เป็นเกมที่คนส่วนใหญ่มีแต่จะแพ้ และนี่คือ 4 เหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงเลือกกองทุนดัชนี S&P 500
1. ตลาดจะชนะในระยะยาว
Warren Buffett เชื่อมั่นว่า ‘ระบบทุนนิยม’ ของสหรัฐอเมริกาและของโลก ในระยะยาวจะเติบโตเสมอ การซื้อ Index Fund (กองทุนดัชนี) มันคือการ ‘ซื้อทั้งตลาด’
และ S&P 500 คือดัชนีที่ติดตามบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา การลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ก็เปรียบเหมือนการเดิมพันกับความสำเร็จของเศรษฐกิจอเมริกาในระยะยาว และจากข้อมูลในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่เชื่อถือได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีก่อนเกิดภาวะเงินเฟ้อ
2. แม้แต่มืออาชีพก็ยังแพ้ตลาด
ในฐานะนักลงทุนที่เลือกหุ้นเอง Warren Buffett รู้ดีว่าการหาผู้จัดการกองทุนที่เก่งกาจและสามารถเอาชนะตลาดได้ต่อเนื่องระยะยาวนั้น ‘ยากมาก’ สถิติมากมายยืนยันว่า กองทุนแอคทีฟ (Active Funds) ส่วนใหญ่ทำผลงานได้แย่กว่าดัชนีในระยะยาว
เขาถึงกับเคยเดิมพัน 1 ล้านดอลลาร์ แข่งกับผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) เป็นเวลา 10 ปี (2008-2017) โดยเดิมพันว่ากองทุนดัชนี S&P 500 ที่เรียบง่าย จะชนะกลุ่มกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่คัดมาอย่างดี
ผลลัพธ์คือ ผ่านไป 10 ปี กองทุนดัชนี S&P 500 ชนะขาดลอย ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 7.1% ต่อปี ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ถูกบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำได้เพียง 2.2% ต่อปี นี่คือหลักฐานว่า แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุด (และคิดค่าธรรมเนียมแพงที่สุด) ส่วนใหญ่ก็ยังแพ้ให้กับตลาด
3. ค่าธรรมเนียม คือตัวกินผลตอบแทน
นี่คือเหตุผลที่ทรงพลังที่สุด กองทุนดัชนีแบบ Passive มีเป้าหมายเพียงแค่ลอกเลียนผลตอบแทนของดัชนี ทำให้มีต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำมาก ค่าธรรมเนียมจึงถูกแสนถูก
ในทางกลับกัน กองทุนแอคทีฟมีทีมผู้จัดการและนักวิเคราะห์ที่ต้องจ่ายเงินเดือนสูง ทำให้พวกเขาต้องเก็บ ‘ค่าธรรมเนียมการจัดการ’ (Management Fee) ที่แพงกว่ามาก ค่าธรรมเนียมที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น 1% หรือ 2% ต่อปี จะถูกหักออกจากผลตอบแทนของเราทุกปี ในระยะยาว พลังของดอกเบี้ยทบต้นจะทำให้ค่าธรรมเนียมส่วนต่างนี้กัดกินผลตอบแทนของเราไปอย่างมหาศาล
4. อารมณ์คือศัตรูตัวฉกาจ
ตลาดหุ้นมีความผันผวน การพยายามเลือกหุ้นเองหรือจับจังหวะตลาดมักจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพราะ ความกลัว (Fear) และ ความโลภ (Greed) นักลงทุนมักจะขายหุ้นเมื่อตลาดตกต่ำ (กลัว) และซื้อเมื่อตลาดขึ้นไปสูงแล้ว (โลภ)
การลงทุนในกองทุนดัชนีแบบเรียบง่ายช่วยขจัดอารมณ์เหล่านี้ออกไป หน้าที่ของเรามีเพียงแค่ ‘ซื้อและถือ’ (อย่างมีวินัย โดยไม่ต้องกังวลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลงในวันนี้
ข้อดีของ Passive Index Fund
- ค่าธรรมเนียมต่ำ: แม้ว่ามีค่าธรรมเนียมที่ต่างกันเล็กน้อย แต่ด้วยพลังของการทบต้นจะทำให้ผลตอบแทนแตกต่างกันอย่างมากในระยะยาว
- การกระจายความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม: การซื้อกองทุน S&P 500 หนึ่งหน่วย ก็เหมือนกับการได้เป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำ 500 แห่งทันที ช่วยลดความเสี่ยงจากการที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งล้มเหลว
- เข้าใจง่ายและประหยัดเวลา: ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์หุ้นรายตัว ไม่ต้องติดตามข่าวตลอดเวลา เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาหรือความเชี่ยวชาญ
- ลดความเครียด: การลงทุนแบบ ‘ตั้งค่าแล้วลืม’ ช่วยลดความเครียดจากการเฝ้าดูพอร์ตการลงทุนทุกวัน
นักลงทุนทั่วไปลงทุน Index Fund ตาม Warren Buffett ได้อย่างไร?
Index Fund ที่ Warren Buffett ก็คือ กองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่มีนโยบายลงทุนโดยพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (เช่น S&P 500) มากที่สุด ผู้จัดการกองทุนไม่ได้พยายามเลือกหุ้นที่จะชนะตลาด แต่แค่ ‘ซื้อหุ้นทั้งหมด’ ตามสัดส่วนที่มีอยู่ในดัชนี
และถึงแม้เราไม่สามารถซื้อ ดัชนี S&P 500 ได้โดยตรง แต่เราสามารถซื้อกองทุนที่ไปลงทุนในดัชนี S&P 500 ได้ง่ายๆ ผ่านหลายช่องทาง
- กองทุนรวมไทย: บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) หลายแห่งในไทย เช่น กสิกร (K-Asset), ไทยพาณิชย์ (SCBAM), กรุงศรี (KSAM) มีกองทุนรวมที่เรียกว่า Feeder Fund ที่ระดมเงินจากนักลงทุนไทยไปซื้อกองทุน S&P 500 ขนาดใหญ่ในต่างประเทศอีกที (เช่น กองทุนของ Vanguard หรือ iShares)
- DR (Depositary Receipt): ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีตราสารที่เรียกว่า DR ให้นักลงทุนซื้อขายได้เหมือนหุ้น ซึ่ง DR บางตัวจะอ้างอิงกับ ETF ของ S&P 500 ในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้สะดวกผ่านแอปเทรดหุ้นทั่วไป
- ลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน/โบรกเกอร์ที่ลงทุนในต่างประเทศได้: ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันและโบรกเกอร์หลายเจ้า (เช่น Dime!, StashAway, หรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการเปิดพอร์ตลงทุนต่างประเทศ) ที่อนุญาตให้คนไทยนำเงินบาทไปซื้อ ETF ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้โดยตรง
การลงทุนแบบ Index Fund เหมาะกับใคร?
เหมาะสำหรับ:
- นักลงทุนมือใหม่ ที่ยังไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการเลือกหุ้น
- นักลงทุนส่วนใหญ่ ตามคำพูดของ Buffett คือคนทั่วไปที่ตระหนักว่าตัวเองไม่มีเวลา, ความเชี่ยวชาญ, หรือความต้องการที่จะวิเคราะห์การลงทุนอย่างลึกซึ้ง
- นักลงทุนระยะยาว ผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะไกล (เช่น เกษียณ) และเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดในระยะ 10, 20, หรือ 30 ปี
- คนที่ต้องการความเรียบง่าย และไม่ต้องการเสียเวลาหรือความเครียดไปกับการจัดการพอร์ต
อาจไม่เหมาะสำหรับ:
- นักลงทุนที่ต้องการรวยเร็ว กลยุทธ์นี้คือการรวยช้าๆ อย่างมั่นคง ไม่ใช่การเก็งกำไร
- ผู้ที่ทนความผันผวนไม่ได้เลย แม้จะกระจายความเสี่ยงแล้ว แต่การถือหุ้น 90% ตามสูตร Buffett ก็ยังหมายความว่าพอร์ตของเราจะแกว่งตัวรุนแรงตามภาวะตลาด
- ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองเอาชนะตลาดได้ ซึ่ง Buffett เตือนว่ามีน้อยคนมากที่ทำได้จริงในระยะยาว
Warren Buffett ไม่ได้บอกว่า การเลือกหุ้นรายตัวหรือการลงทุนแบบ Active เป็นกลยุทธ์ที่ล้มเหลว ตัวเขาเองคือข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความสำเร็จนั้น แต่เขากำลังส่งสารถึงคนธรรมดาอย่างเราๆ ด้วยความจริงใจว่า สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีเวลาทั้งชีวิต หรือความเชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์ การเดิมพันเพื่อเอาชนะตลาดในระยะยาวนั้นเปรียบเหมือนการพยายามว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยวที่ทั้งเหนื่อยและยาก
แต่ข่าวดีก็คือ เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะมัน เราแค่ ‘เข้าร่วม’ กับความสำเร็จของตลาดโดยรวม ลงทุนในที่ที่ถูกต้องอย่างมีวินัย และมีอาวุธที่ทรงพลังที่สุดซึ่งทุกคนมีเท่ากันนั่นคือ ‘เวลาและความอดทน’ ปล่อยให้พลังแห่งการทบต้นทำงาน ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตของใครก็สามารถเติบโตอย่างมั่นคง และมุ่งหน้าสู่อิสรภาพทางการเงินในแบบของเราเองได้
ภาพ: mark peterson/Corbis via Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2019/02/26/warren-buffett-wants-90-percent-of-his-estate-invested-in-index-funds.html
- https://www.investopedia.com/buffetts-90-10-strategy-revealed-how-this-no-fuss-formula-builds-long-term-wealth-11843883
- https://finance.yahoo.com/news/warren-buffett-bet-1m-could-151520090.html
- https://www.investopedia.com/warren-buffett-usd1-million-bet-8779290


