ธปท. เผยเศรษฐกิจฟื้นหนุนสินเชื่อไตรมาส 3 โต 5.3% ขณะที่หนี้เสียปรับลดลงเหลือ 2.77% แต่เริ่มพบสัญญาณหนี้ Stage 2 ปรับสูงขึ้นในกลุ่มสินเชื่อรายย่อย กลุ่มคนรายได้น้อยและ SMEs ขนาดเล็กที่ฟื้นตัวได้ไม่เท่าเทียม
สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และสนับสนุนความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้ในระยะถัดไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธนาคารออมสิน เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยขั้นบันได จ่ายสูงสุด 4.5% และ 10% หวังส่งเสริมการออมระยะยาว
- เตรียมตัวไว้! ตั้งแต่ 15 พ.ย. นี้ ‘ฝากเงินผ่านตู้’ ต้องยืนยันตัวตนผ่านบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเครดิต เพื่อป้องกันการฟอกเงิน
- ไม่ตกขบวน! ไทยพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ย MLR และ MOR 0.25% พร้อมขยับดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50%
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อ และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากปีก่อน โดยหลักจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองลดลง โดยมีรายละเอียดดังนี้
ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 3,094.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ 19.2% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 8.90 แสนล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 171.6% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio: LCR) อยู่ที่ 186.5%
สำหรับภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2565 ขยายตัวที่ 5.3% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจาก 6.3% ในไตรมาสก่อนหน้า จากการชำระคืนของสินเชื่อที่ให้แก่ภาครัฐ ประกอบกับการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ ทั้งนี้ สินเชื่อยังขยายตัวสอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
สินเชื่อธุรกิจขยายตัวที่ 6.1% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ขยายตัวตามความต้องการเงินทุนเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ด้านสินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัว ผลจากสินเชื่อ Soft Loan ที่ทยอยชำระคืนเป็นสำคัญ
สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวที่ 3.9% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกพอร์ตสินเชื่อ สินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ 7.7% ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยขยายตัว 2.6% ตามอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งแนวราบและแนวสูง ส่วนหนึ่งจากผลของมาตรการสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยที่จะสิ้นสุดในปี 2565
สำหรับสินเชื่อรถยนต์ขยายตัว 1.6% สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ปรับดีขึ้น ด้านสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวต่อเนื่องที่ 10.9% สอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายที่ขยายตัว รวมถึงผลของการใช้จ่ายที่อยู่ในระดับต่ำจากการล็อกดาวน์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการคุณภาพหนี้ และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non Performing Loan: NPL หรือ Stage 3) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 5.02 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.77% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk: SICR หรือ Stage 2) อยู่ที่ 6.26% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 6.09%
“NPL ที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขายหนี้เสียให้กับ AMC ส่วนตัวเลข Stage 2 ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายย่อย กลุ่มคนรายได้น้อย และ SMEs ขนาดเล็ก เพราะเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ไม่เท่าเทียม นี่จึงเป็นเหตุให้ ธปท. จัดมหกรรมแก้หนี้ขึ้นมาด้วย” สุวรรณีกล่าว
ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 6.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 56.8% โดยหลักเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองลดลง หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยกันสำรองในระดับสูงตลอดช่วงโควิด
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับลดลงจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่ลดลงจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาลในไตรมาสก่อน ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.64% จากไตรมาสก่อนที่ 2.51% ส่วนภาพรวมอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) ลดลงมาอยู่ที่ 1.01% จากไตรมาสก่อนที่ 1.11%