ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดแผนดูแลค่าเงินบาท ลดแรงกดดันจากการเก็งกำไร เตรียมเฮียริ่ง แก้เกณฑ์ Repatriation ขยายวงเงินเป็น 10 ล้านดอลลาร์พร้อมประสานคลังแก้ประกาศสั่งร้านทองรายงานข้อมูลซื้อขายรายวัน และกำชับแบงก์พาณิชย์
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงแนวทางการดูแลค่าเงินบาทที่ผันผวน ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงกดดันจากราคาทองคำในตลาดโลก โดยระบุว่าในบางวันที่มีการซื้อขายทองคำสูง ธุรกรรมดังกล่าวส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทถึง 10-20% โดยมีรายละเอียด แนวทางดังนี้
1. แก้เกณฑ์ Repatriation ลดแรงกดดันบาทแข็ง
หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการผ่อนคลายเกณฑ์การนำรายได้กลับประเทศ (Repatriation) โดยอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) เพื่อปรับแก้กฎเกณฑ์ ขยายวงเงินรายได้ต่างประเทศที่ไม่ต้องนำกลับเข้าประเทศเป็น 10 ล้านดอลลาร์ ต่อครั้งสามารถเลือกบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศไว้ในต่างประเทศได้ โดยยังไม่ต้องรีบนำกลับมาแลกเป็นเงินบาท จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้เพียง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มาตรการนี้จะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในฝั่งแข็งค่า เพราะผู้ประกอบการสามารถนำเงินดอลลาร์ไปชำระค่าสินค้าหรือบริหารจัดการต่อได้ โดยไม่ต้องแปลงเป็นบาทและแปลงกลับไปใหม่ ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและการดูแลค่าเงิน อย่างไรก็ตาม หากวงเงินเกิน 10 ล้านดอลลาร์ ยังคงต้องนำรายได้กลับเข้าประเทศทั้งจำนวน ไม่สามารถแบ่งซอยย่อยได้ โดยกระบวนการเปิดรับฟังความเห็น (Hearing) บนหน้าเว็บไซต์ ธปท. จะเริ่มขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคมนี้
2. เตรียมแก้ประกาศสั่งผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลซื้อ-ขาย
ในส่วนของทองคำที่มักเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินบาท ธปท. เตรียมหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อแก้ประกาศ ให้ผู้ค้าทองคำต้องส่งรายงานข้อมูลการซื้อขายให้ ธปท. ทราบ บนช่องทางซื้อ-ขาย ดังนี้
- การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม/แอปพลิเคชัน ธปท. ต้องการเห็นข้อมูลรายธุรกรรม (Transaction) ซึ่งระบบมีข้อมูลอยู่แล้ว
- การซื้อขายหน้าร้าน จะขอความร่วมมือให้รายงานยอดสุทธิสิ้นวัน (Square Position) ว่ามีการซื้อขายเท่าไร และมีการบริหารความเสี่ยงหรือไปซื้อต่ออย่างไร เพื่อดูพฤติกรรม
สำหรัยเป้าหมายหลักคือการตรวจสอบเส้นทางการเงินและแยกแยะระหว่างการซื้อเพื่อลงทุนจริงกับการเก็งกำไร หรือธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา โดยเบื้องต้นจะเน้นไปที่ร้านทองรายใหญ่ก่อน
3. คุมเข้มสถาบันการเงิน ต้องมีเอกสาร ‘ใบขนสินค้า’ยืนยัน
ธปท. ได้กำชับไปยังสถาบันการเงินให้ตรวจสอบเอกสารประกอบการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตรา (FX) ที่เกี่ยวข้องกับทองคำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเอกสาร ‘ใบขนสินค้า’ เพื่อยืนยันว่ามีการนำเข้าหรือส่งออกทองคำจริง ธนาคารต้องไม่ปล่อยให้มีการทำธุรกรรมหากไม่มีหลักฐานการขนส่งสินค้าที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการใช้ช่องว่างนี้ในการโยกย้ายเงิน
ในกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการใช้ คริปโตเคอร์เรนซี ชำระค่าทองคำเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ ชญาวดี ระบุว่า แม้การชำระเงินอาจตรวจสอบยากหากไม่ผ่านแบงก์ แต่ในขั้นตอนการนำเข้า-ส่งออก จะต้องมีใบขนสินค้าผ่านกรมศุลกากรเสมอ หากไม่มีใบขนถือว่าผิดกฎหมายรุนแรง
นอกจากนี้ ธปท. ยังประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยขอให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งข้อมูลมายัง ธปท. ด้วย หากพบธุรกรรมต้องสงสัย เช่น การใช้เงินสดซื้อทองคำจำนวนมาก (เกิน 2 ล้านบาทต้องรายงาน ปปง. อยู่แล้ว) หรือพฤติกรรมการโอนเงินที่ผิดปกติ เพื่อให้ ธปท. ช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน
ทั้งนี้ มาตรการทั้งหมดไม่ได้มุ่งหวังให้การซื้อขายทองคำลดลงจนกระทบธุรกิจ แต่ต้องการข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อวิเคราะห์ต้นตอของเงินทุนเคลื่อนย้าย และลดผลกระทบต่อความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะยาว


