×

9 เหตุผลที่ควรก้าวเข้างานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ กับความทรงจำถึงในหลวงรัชกาลที่ 9

21.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งนี้ จัดขึ้นในห้วงเวลาสำคัญ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีต่อวงการหนังสือไทย โดยอยู่ภายใต้แนวคิดหลัก ‘ความทรงจำ’
  • การจัดงานครั้งนี้ ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ นิทรรศการ ‘ความทรงจำ’ ที่จะถ่ายทอดพระราชกรณียกิจและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ตลอด 7 ทศวรรษในรัชสมัยของพระองค์ และจัดแสดงพระราชนิพนธ์เรื่องแรกภายหลังเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์
  • มีการจัดแสดงสิ่งพิมพ์และของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับในหลวงรัชกาลที่ 9 มากที่สุดในประเทศไทย

     หนอนหนังสือ นักอ่านมือพระกาฬ (มือช้อปปิ้ง) ทั้งหลาย ขอเชิญเตรียมตัว เตรียมเงินในกระเป๋า และฟิตร่างกายให้พร้อม ปีนี้งานมหกรรมหนังสือระดับชาติกำลังจะกลับมาอีกครั้ง โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 18-29 ตุลาคมนี้ ที่เก่าเวลาเดิม คือศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กาดอกจันตัวโตๆ ในปฏิทินไว้ได้เลย

     สำหรับมหกรรมนี้เริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี และจัดขึ้นต่อเนื่องยาวนานมาแล้ว 22 ครั้งด้วยกัน ภายใต้การนำของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT)

     หลายคนน่าจะมีโอกาสมาเดินงานนี้หลายครั้ง และคงได้สัมผัสบรรยากาศและกิจกรรมที่ต่างกันออกไป แต่งานครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งไหนๆ เพราะกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นอยู่ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้าของคนไทย หัวใจสำคัญจึงเป็นการจัดงานเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีต่อวงการหนังสือไทย

     THE STANDARD จะพาไปสำรวจว่างานหนังสือในครั้งนี้มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ นอกเหนือไปจากการออกบูธของสำนักพิมพ์ต่างๆ ทั่วฟ้าเมืองไทย

 

 

  1. นิทรรศการ ‘ความทรงจำ’ ครั้งยิ่งใหญ่ 7 ทศวรรษ

     ช่วงเวลาของการจัดงานมหกรรมหนังสือในครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่ตรงกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ประชาชนคนไทยต่างไม่อยากให้มาถึง คณะกรรมการได้จัดงานขึ้นภายใต้แนวคิด ‘ความทรงจำ’ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อวงการหนังสือไทย โดยเชื่อมโยงเป็นนิทรรศการหลักของงาน นำเสนอพระราชกรณียกิจของพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ผ่านหนังสือพระราชนิพนธ์และหนังสือที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์กว่า 7 ทศวรรษ ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ว่า

     “…หนังสือเป็นการสะสมความรู้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนเป็นทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้…”

     โดยร้อยรวมหัวใจเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อถวายพระเกียรติยศแด่พระองค์ท่าน นิทรรศการแบ่งเป็น 7 ทศวรรษ เริ่มต้นตั้งแต่ ทศวรรษแรก ซึ่งเป็นการเริ่มต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.​ 2489 ขณะมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา และเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า

     “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

     และทรงปฏิบัติดังเช่นที่ให้สัญญากับพสกนิกรมาตลอดรัชสมัยจนลุถึงทศวรรษสุดท้ายในแผ่นดินธรรมของพระองค์

     นอกจากนี้แล้ว ตลอดระยะเวลาการจัดงาน โทรทัศน์ทุกเครื่องที่อยู่ในงานมหกรรมครั้งนี้จะถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ โดยตลอด เพื่อไม่ให้พสกนิกรพลาดการรายงานข่าวครั้งสำคัญ

 

 

  1. จัดแสดง ‘พระราชนิพนธ์เรื่องแรกเมื่อเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์’

     อีกหนึ่งไฮไลต์ของนิทรรศการความทรงจำได้รับความอนุเคราะห์จาก คุณไพศาล เปี่ยมเมตตาวัฒน์ นักสะสมหนังสือและภาพโบราณที่จะนำ นิตยสาร ‘วงวรรณคดี’ ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 ซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตพิเศษให้ตีพิมพ์พระราชนิพนธ์เรื่อง ‘เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์’ พระราชนิพนธ์เรื่องแรกเมื่อเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์ มีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ภายในเล่มที่หาชมได้ยาก ถือเป็นครั้งแรกของการจัดแสดง

     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระราชหฤทัยในศาสตร์และศิลป์หลายแขนง รวมถึงภาษาและวรรณคดีด้วย พระองค์ได้พระราชนิพนธ์วรรณกรรมหลายรูปแบบ ทั้งความเรียง นิทาน และเรื่องแปล ทรงมีความรอบรู้แตกฉานในภาษาทั้งต้นทางและปลายทาง จนสามารถแปลทั้งสำนวนที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง

 

 

     งานครั้งนี้พสกนิกรจึงไม่ควรพลาดที่จะได้ชื่นชมพระอัจฉริยภาพของพระองค์ผ่านหนังสือพระราชนิพนธ์เล่มแรกเมื่อทรงเสด็จขึ้นครองราชย์และพระราชนิพนธ์เล่มอื่นๆ

     และยังมีการจัดแสดงหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอด 7 ทศวรรษในรัชสมัยของพระองค์

     ที่สำคัญคือ มีการแจกหนังสือพระราชนิพนธ์ ‘เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์’ ฉบับคัดลอกมาจากฉบับจริงให้กับประชาชนที่มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย โดยเบื้องต้นตีพิมพ์ไว้ 10,000 เล่ม คาดว่าน่าจะไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งอาจจะมีการตีพิมพ์เพิ่มอีกครั้ง เพราะฉะนั้นพลาดไม่ได้จริงๆ ขอย้ำอีกครั้ง

 

 

  1. ที่สุดของการจัดทำสิ่งพิมพ์และของที่ระลึก หลังเสด็จสวรรคต

     นอกจากไฮไลต์หลักเป็นการจัดนิทรรศการเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาพระราชกรณียกิจของพระองค์ รวมทั้งพระอัจฉริยภาพผ่านงานพระราชนิพนธ์ต่างๆ ในงานนี้ยังมีสิ่งพิมพ์และของที่ระลึกต่างๆ ที่จัดทำขึ้นภายหลังวันเสด็จสวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งงานที่รวบรวมเอาหนังสือและสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาแสดงให้ชมมากที่สุด

     หลายสำนักพิมพ์มีการจัดทำหนังสือเพื่อให้ประชาชนสามารถเก็บเป็นที่ระลึกและเป็นความทรงจำในโอกาสอันสำคัญครั้งนี้ด้วย

 

  1. เสวนา ‘9 วัน 9 ความทรงจำ ธ สถิตอยู่ในใจไทยนิรันดร์’

     ตลอดระยะเวลาของการจัดงาน ผู้มีชื่อเสียงในสาขาต่างๆ จะมาร่วมพูดคุยบนเวทีเอเทรียมทุกวัน ในเวลา 18.00 น. (ยกเว้นวันที่ 25 และ 26 ตุลาคม เนื่องจากมีพระราชพิธีสำคัญ) เช่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี, พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ, นายแพทย์ดนัย โอวัฒนาพานิช (บรรยายเกี่ยวกับการสะสมพระเครื่องของพระองค์) ซึ่งจะมาถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการถวายงานและแง่มุมอื่นๆ ที่เราอาจยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่จะมาถ่ายทอดความรู้สึกและประสบการณ์ถึงพระองค์ท่านอีกด้วย

     ถือว่าเป็นช่วงเวลาและโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพระองค์ท่านผ่านผู้ที่เคยถวายงานใกล้ชิด

 

 

  1. ‘ที่คั่นหนังสือแห่งความทรงจำ’ Limited Edition

     จัดทำขึ้นเป็นพิเศษโดยนักออกแบบชื่อดังเพื่องานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ซึ่งมีจำนวน 9,999 ชิ้น ในราคา 99 บาท และรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะมอบให้กับโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสมทบทุนอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา งานนี้ท่านที่อุดหนุนจะได้ทั้งความอิ่มใจจากของที่ระลึกที่มีจำนวนจำกัดเพื่อเก็บไว้สะสม แล้วยังได้ทำบุญไปพร้อมกันอีกด้วย

     ส่วนแรงบันดาลใจของการออกแบบนั้น วีรดา ศิริพงษ์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ แบรนด์ Carpenter เปิดเผยว่า การออกแบบในครั้งนี้เป็นการนำเศษไม้เหลือใช้ที่มาจากงานประตู หน้าต่าง ซึ่งโดยปกติแล้วจะนำไปทำฟืน จึงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้มาดีไซน์เป็นของที่อยู่ได้ยั่งยืนแบบที่พระองค์ท่านสอน เกิดเป็นแรงบันดาลใจในการทำที่คั่นหนังสือ อีกทั้งวัสดุที่เป็นไม้และเชือกหนัง ทำให้ใช้แล้วมีความรู้สึกของการสัมผัส ความนุ่มนวล ส่วนภาพที่นำมาประกอบในที่คั่นหนังสือทั้ง 3 ภาพนี้ ประชาชนคนไทยน่าจะเคยเห็นและคุ้นเคย เพราะเป็นภาพพระหัตถ์ของพระองค์ ทำให้มีความรู้สึกเหมือนพระองค์ยังคอยโอบอุ้มเราอยู่

 

 

     โดยภาพแรกเป็นภาพที่พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชน บ่งบอกถึงความสามัคคี แบบที่ 2 ภาพพระหัตถ์ขณะทรงงาน ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก แบบที่ 3 ภาพที่ท่านน้อมรับดอกบัวจากคุณยายท่านหนึ่ง โดยด้านหลังจะมีเลข ๙ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมีพระราชดำรัสอยู่ที่แพ็กเกจของทุกรูปแบบ

 

 

     ปิติ อัมระวงศ์ นักออกแบบอิสระแห่งสตูดิโอ o-d-a เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการทำที่คั่นหนังสือส่วนที่ตนเองออกแบบว่า ที่คั่นหนังสือทำมาจากโลหะ ชื่องาน ‘ความทรงจำ’ รูปทรงที่นำมาใช้ถือว่าเป็นไอคอนที่ทุกคนจะคุ้นเคยอยู่แล้วเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยได้นำเอาภาพกล้องที่พระองค์ทรงใช้เวลาทรงงาน สุนัขทรงเลี้ยง และรถยนต์ส่วนพระองค์มาเป็นแบบ เวลาคั่นหนังสือจะได้ระลึกถึงพระองค์ท่านไปพร้อมๆ กัน วิธีใช้เพียงเหน็บเข้าไปยังด้านบนของหน้าหนังสือ ส่วนด้านหลังมีข้อความพระราชดำรัสด้วย

 

  1. พบกับการจัดแสดงปกหนังสือและการออกแบบรูปเล่มดีเด่น            

     ปีที่แล้วจัดกิจกรรมนี้เป็นปีแรก โดยในปีนี้มีผลงานส่งเข้ามาเกือบ 400 เล่ม นำมาคัดเหลือ 100 เล่ม ที่ได้รับการคัดเลือกจากโครงการ 100 Annual Book and Cover Design หรือ 100 ABC จากกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งในปีนี้เมื่อคัดแล้วได้หนังสือ 99 เล่ม แบ่งเป็นปก 80 เล่ม รูปเล่มอีก 19 เล่ม                                   

     หัวใจสำคัญของกิจกรรมนี้คือการถ่ายทอดเรื่องราวของผู้เขียนผ่านรูปแบบปก ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นเหมือนคลังความรู้เพื่อให้ประชาชนได้เห็นถึงเทคนิคของการจัดทำปกหนังสือและรูปเล่ม เช่น การเลือกใช้กระดาษ วิธีการจัดรูปเล่มภายใน ซึ่งสามารถเลือกใช้วัตุดิบที่มีในประเทศไทยได้ ถือว่าเป็นการพัฒนาต่อยอดการออกแบบและจัดทำหนังสือไปพร้อมๆ กันด้วย นอกเหนือจากการมีเนื้อหาที่มีคุณภาพอยู่แล้ว โดยบางส่วนของผลงานจากฝีมือของคนไทยจะถูกนำไปจัดแสดงอวดสายตาให้กับต่างประเทศได้ชมด้วย                                       

 

 

  1. แสตมป์ชุดพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ ที่สุดแห่งจดหมายเหตุแผ่นดิน                        

     เป็นอีกครั้งสำคัญในงานนี้ที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เตรียมจำหน่ายตราไปรษณียากรที่ระลึกชุด ‘พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช’ โดยเริ่มจำหน่ายภายในงาน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป แสตมป์ชุดนี้จัดพิมพ์ทั้งหมด 3,000,000 ชุด นักสะสมที่มาในงานนี้อาจต้องรีบมาต่อคิวจับจองเป็นเจ้าของ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเปิดให้จองและปิดรับจองไปแล้ว แต่จะนำมาจำหน่ายภายในงานนี้ด้วย ถือว่าเป็นคอลเล็กชันพิเศษ                        

     แสตมป์ชุดนี้จัดพิมพ์ด้วยกัน 3 รูปแบบ โดยแผ่นแรกเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ขณะทรงแย้มพระสรวล จำนวน 9 ภาพ ราคาดวงละ 9 บาท แผ่นที่ 2 ภาพเครื่องประกอบที่สำคัญ ได้แก่ พระบรมโกศ พระยานมาศสามลำคาน และพระมหาพิชัยราชรถ ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พื้นหลังเป็นภาพพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทที่ประดิษฐานพระบรมศพ รวม 3 ดวง ดวงละ 3 บาท และแผ่นที่ 3 เป็นภาพพระเมรุมาศ 1 ดวง ชนิดราคา 9 บาท ประกอบภาพพสกนิกรร่วมกันจุดเทียนถวายความอาลัย ขณะเดียวกันภายในงานยังมีแสตมป์ต่างๆ ที่หาได้ยากหรือที่เคยออกจำหน่ายมาแล้ว ซึ่งหลายคนอาจจะหาซื้อไม่ทันในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทไปรณีย์ไทยก็ได้นำออกมาวางจำหน่ายในครั้งนี้ด้วย

 

 

  1. นิทรรศการภาพถ่าย ‘๙ สู่สวรรคาลัย’

     เป็นการบันทึกเรื่องราวต่างๆ โดยเน้นภาพเป็นหลัก ทั้งภาพความรู้สึกของพสกนิกรของพระองค์ภายหลังเหตุการณ์เสด็จสวรรคต พระราชจริยวัตร และพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านต่างๆ รวมทั้งภาพเบื้องหลังการเตรียมงานสร้างพระเมรุมาศ

     ซึ่งการบรรยายความรู้สึกโศกเศร้าอาลัยผ่านภาพถ่ายนั้นสามารถบอกเล่าได้ลึกซึ้งกว่าคำพูดหรือตัวอักษรเป็นร้อยเป็นพันคำ

     โดยจะบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 วันที่พระองค์เสด็จสวรรคตเรื่อยมา

 

  1. กว่าล้านเล่มรอให้เลือกเป็นเจ้าของ

     พบกับหนังสือราคาพิเศษในงานมากกว่า 1,000,000 เล่ม จากสำนักพิมพ์ 389 ราย รวมทั้งสิ้น 939 บูธ บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร

     อีกไม่นานเกินรอ มหกรรมหนังสือระดับชาติกำลังจะมาถึงในเดือนหน้า และเวลานั้นทุกคนจะได้มาร่วมกันสร้างความทรงจำครั้งสำคัญ ความทรงจำต่อพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในใจของปวงประชา และความทรงจำต่อการเลือกสรรหนังสือเพื่ออ่านและเก็บเป็นที่ระลึก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากพลังของการอ่านที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาตัวเรา และนำไปสู่การพัฒนาประเทศทุกๆ ด้านในอนาคต

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X