ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.1% ตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ แม้ภาวะเงินเฟ้อเริ่มกระจายไปในหมวดสินค้าต่างๆ ในวงกว้างมากขึ้น
โดยในแถลงการณ์ที่เผยแพร่หลังจบการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ BOJ ในวันนี้ (19 ธันวาคม) ระบุว่า BOJ ยังคงมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งบังคับให้ BOJ ต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปจนกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดภาวะเงินเฟ้อสำคัญ ‘เพิ่มขึ้น’ เมื่อเทียบเป็นรายปี (Year-on-Year) เกิน 2% และอยู่เหนือเป้าหมายในลักษณะที่มั่นคง (Stable Manner)
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ภาวะเงินเฟ้อผู้บริโภคญี่ปุ่นเริ่มกระจายจากหมวดอาหารและพลังงานไปสู่บริการต่างๆ แล้ว ได้แก่ โรงแรม ค่าธรรมเนียมการใช้โทรศัพท์มือถือ และค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ เป็นต้น ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าญี่ปุ่นเริ่มเกิดแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยั่งยืน (Sustained Inflation) แล้วหรือไม่
การประชุมของ BOJ ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ เพื่อกำราบภาวะเงินเฟ้อ
โดยช่องว่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นระหว่างทั้ง 2 ประเทศส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่ามากถึง 24% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้น
แม้ในเดือนที่ผ่านมาแรงกดดันต่อ BOJ ได้ผ่อนคลายลงบ้าง เนื่องจากเงินเยนแข็งค่าขึ้นเกือบ 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากความคาดหวังว่าช่องว่างดอกเบี้ยจะลดลงในปีหน้า แต่หลายฝ่ายก็มองว่าการแข็งค่าของเงินเยนก็ไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ BOJ เลิกใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินพิเศษ (Ultra-loose Policy) ได้
อ้างอิง:
