×

ไทยเปิดเกมรุก! ‘BOI’ เจาะ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย งัดยุทธศาสตร์ผูกซัพพลายเชนกับสหรัฐฯ ชูแต้มต่อเหนือแรงกดดันภาษี

14.07.2025
  • LOADING...

BOI ชูยุทธศาสตร์ ผูกซัพพลายเชนกับสหรัฐฯ ตั้งเป้าให้ไทยเป็นพันธมิตรดึงดูด 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ส.อ.ท. ชี้ ไทยยังมีหวัง! แนะไม่จำเป็นต้องลดภาษีทุกอุตสาหกรรม 0% แบบเวียดนาม

 

วันที่ 14 ก.ค. 2568 นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวในงานเสวนาโต๊ะกลม ‘กรุงเทพธุรกิจ Roundtable: The Art of (Re) Deal’ ถึงแนวทางการรับมือและดึงดูดการลงทุน หลังสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งประเทศไทยถูกกำหนดเพดานอัตราภาษีไว้ที่ 36% และยังอยู่ระหว่างการเจรจาว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบในหลายมิติ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจลงทุน 

 

นอกเหนือจากอัตราภาษีตอบโต้ ยังมีภาษีนำผ่านสินค้า (Transshipment) ภาษีรายสินค้าตามมาตรา 232 เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act ซึ่งปัจจุบันมีการประกาศแล้วในอะลูมิเนียม ทองแดง รถยนต์ และชิ้นส่วนสำคัญบางชิ้น รวมถึงคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ที่ปัจจุบันได้รับการยกเว้นและในอนาคตอาจไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ดี อัตราภาษีมาตรา 232 นี้เท่ากันทุกประเทศ ทำให้ไม่เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างประเทศ แต่เป็นต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นของภาคธุรกิจ ทำให้บางบริษัทอาจพิจารณาไปลงทุนตั้งฐานผลิตในสหรัฐฯ ที่มีอัตราภาษี 0%

 

อีกทั้งยังมีเรื่องการจำกัดการส่งออกชิป AI ซึ่งไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านภาษีไม่ใช่เครื่องตัดสินเพียงหนึ่งเดียวในการลงทุน ยังมีอีกหลายปัจจัยที่นักลงทุนพิจารณา

 

เพิ่ม ‘เครดิตภาษี’ บรรเทาผลกระทบ

 

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการ Global Minimum Tax ที่ประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.ภาษีส่วนเพิ่ม ที่เก็บภาษีขั้นต่ำ 15% ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้น BOI จึงเตรียมแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่ม ‘เครดิตภาษี’ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบ

 

นฤตม์ย้ำว่า ทิศทางการลงทุนของไทยจากนี้จะต้อง ‘ผูก Supply Chain กับสหรัฐฯ ให้มากขึ้น’ ทั้งการลงทุนสหรัฐฯ ในไทยและการลงทุนไทยในสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ‘ทำให้ไทยเป็นพันธมิตรใน Supply Chain ของสหรัฐฯ’ ในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และด้านดิจิทัล เพื่อให้สหรัฐฯ มองไทยเป็นฐานในการขยายตลาดเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน

 

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ลงทุนในไทย 135 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 150,000 ล้านบาท และหากรวมบริษัทสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านสิงคโปร์จะมากกว่า 200,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล ยานยนต์ และอาหาร

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เจาะ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ดึงสหรัฐฯ ลงทุนไทย

 

สำหรับทิศทางในอนาคต ประเทศไทยยังคงมุ่งเป้าไปที่บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี (Tech-based) โดยมี 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ

 

  1. Semiconductor และ Advanced Electronics ตั้งแต่การผลิตชิป ซึ่งไทยโดดเด่นด้านการประกอบและทดสอบขั้นสูง รวมถึงการผลิตฮาร์ดดิสก์สำหรับ Data Center และชิ้นส่วนการผลิตโน้ตบุ๊ก

 

  1. Digital และ AI ทั้ง Data Center ระดับ Hyperscale และบริการ Cloud มาตรฐานสูง

 

  1. ยานยนต์ ทั้งรถยนต์ของสหรัฐฯ (Ford) และ Big Bike อย่าง Harley-Davidson ซึ่งมีการลงทุนในไทยอยู่แล้วและมีแผนอัปเกรดไปสู่ EV รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์

 

  1. อุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio-Technology) ผสมผสานเทคโนโลยีสหรัฐฯ กับวัตถุดิบทางการเกษตรและความหลากหลายทางชีวภาพของไทย รวมถึงไบโอเทคทางการแพทย์

 

  1. การเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ เชิญชวนบริษัทสหรัฐฯ มาตั้งสำนักงานใหญ่ (Regional Headquarters) หรือเป็นฐานศูนย์วิจัยในภูมิภาค (R&D)

 

ชู 5 แต้มต่อที่มากกว่าเรื่องภาษี

 

นฤตม์ระบุอีกว่า ภาษีไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการตัดสินใจของนักลงทุน แต่ยังมี 5 เรื่องหลักที่ประเทศไทย ‘ได้เปรียบภูมิภาค’

 

  1. โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งน้ำ ไฟ นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ และสนามบิน

 

  1. Supply Chain โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลัก เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

  1. บุคลากร ทั้งแรงงานฝีมือ วิศวกร ช่างเทคนิค รวมถึงมาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญต่างชาติผ่าน Smart Visa และ Residence

 

  1. สิทธิประโยชน์และมาตรการจากภาครัฐ ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้

 

  1. การเข้าถึงตลาด (Market Access) ไทยมีตลาดในประเทศขนาดใหญ่เกือบ 70 ล้านคน มี FTA 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศ และกำลังเจรจากับ EU เกาหลี และแคนาดา

 

“หากไทยสามารถเจรจาภาษี Reciprocal Tariffs อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ มั่นใจว่า 5 ปัจจัยนี้จะเป็นจุดแข็งของไทย และจะเป็นประเทศที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาค”

 

เอกชนแนะไทยไม่จำเป็นต้องลดภาษีทุกอุตสาหกรรม 0% แบบเวียดนาม

 

ด้าน นาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองถึงมิติการแข่งขันที่ไทยอาจจะเสียเปรียบคู่แข่ง อย่างมาเลเซียถูกเก็บภาษีเพียง 25% โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมถุงมือยาง ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ปริมาณมาก อาจไม่สามารถอยู่รอดได้อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ โดยยินดีจัดทำข้อมูลส่งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง เพื่อประกอบการพิจารณาลดอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าจากสหรัฐฯ บางกลุ่มอุตสาหกรรมเหลือ 0% เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ แต่ย้ำว่าไม่จำเป็นต้องลดภาษีทุกอุตสาหกรรม 0% แบบเวียดนาม

 

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีมติเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ

 

  1. มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty – CVD) 

 

  1. มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน (Soft Loan) 

 

  1. มาตรการเยียวยาทางอ้อม บางบริษัทจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อพยุงธุรกิจ 

 

ดังนั้นในประเด็นค่าแรงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นค่าแรงออกไปก่อน 

 

“ไม่อยากให้ฟังแล้วหมดความหวัง เพราะปัญหาเยอะ ธุรกิจที่ดีก็ยังมี จะเห็นจากวิกฤติต้มยำกุ้งในอดีต ไทยโชคดีที่มีอุตสาหกรรมเกษตรรองรับ แต่ในปัจจุบันราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ รัฐควรมีมาตรการช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition) เพื่อให้อุตสาหกรรมปรับตัวรองรับตลาดได้ ไม่ควรปล่อยให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงจนทำลายกันเองเหมือนที่เกิดขึ้นกับจีน” นาวากล่าว 

 

ภาพ: Javier Ghersi / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising