ตั้งแต่เกิดกระแสตื่นตัวเรื่องโลกร้อน รวมทั้งปรากฏการณ์และภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายเหตุการณ์ที่ทำให้มนุษย์ต้องหันกลับมาปรับวิถีการดำเนินชีวิตให้เป็นมิตรกับธรรมชาติมากขึ้น หลายคนคงเห็นแล้วว่าทั้งโลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเป็นสังคม Sustainable ที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยบนโลกนี้ได้อย่างยั่งยืนและสะอาดปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์และธรรมชาติในอนาคต
รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่หลายประเทศในโลกกำลังจับตามองอยู่ ว่าสิ่งนี้จะเป็นอนาคตของการเดินทางสัญจรของมนุษย์ได้หรือไม่
ไอเดียของรถยนต์ไฟฟ้ามีมาตั้งแต่ปี 1884 หรือเกือบ 20 ปีก่อนที่รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมคันแรกจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก แต่ไม่แพร่หลายเท่าไรนัก เนื่องด้วยสมรรถภาพทางการขับขี่ที่ด้อยกว่ารถยนต์เชื้อเพลิง ทั้งความเร็วที่น้อยกว่า และไม่มีการเปลี่ยนความเร็วด้วยเกียร์
เวลาผ่านไปเป็นศตวรรษ ปัจจุบันเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้ากลับมาอีกครั้งด้วยกระแสการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมอย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น พร้อมกับเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นมาก รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถทำความเร็วได้ไม่ต่างไปจากรถยนต์เชื้อเพลิงเลย อีกทั้งเครื่องยนต์ยังทำงานเงียบกว่า และไม่มีการปล่อยไอเสียรบกวนสุขภาพและธรรมชาติด้วย เห็นความนิยมได้จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกที่มียอดจำหน่ายจากหลายแบรนด์รวมกันกว่า 600,000 คัน
นโยบายของประเทศชั้นนำหลายประเทศก็มุ่งหน้าไปทางนี้ ด้วยการตั้งเป้าหมายที่จะลดการใช้พลังงานน้ำมันเบนซินและดีเซลลง จนถึงจุดที่แบนเชื้อเพลิงเหล่านี้ออกไปอย่างถาวร ไม่ว่าจะเป็นนอร์เวย์ ที่ตั้งเป้าแบนเชื้อเพลิงฟอสซิลไว้ในปี 2025 หรือจีน อินเดีย และเยอรมนีในปี 2030 แม้แต่ฝรั่งเศสกับอังกฤษ ที่ตั้งเป้าเลิกใช้ในปี 2040
ในไทยเองก็เริ่มมีกระแสตื่นตัวของรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากเมื่อต้นปีที่มีการเปิดตัวโครงการทำสถานีชาร์จไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าไว้ 1,000 แห่งทั่วประเทศ ทั้งแบบสถานีบริการและหัวชาร์จตามที่จอดรถ หรืออย่างทาง BMW ก็มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น BMW iPerformance ที่ทำทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดเพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้ทุกคน ภายใต้วิสัยทัศน์ NUMBER ONE > NEXT ที่มุ่งหน้าไปสู่อนาคตแห่งยานยนต์ในยุคดิจิทัล
แต่รถยนต์ไฟฟ้ายังมีข้อสังเกตที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้ใช้รถที่ตัดสินใจคิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน อย่างแรกเลยคือความกังวลในการเติมประจุไฟฟ้า ที่ต้องยอมรับว่ายังหาได้ยากในบ้านเรา หลายคนไม่กล้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพราะกลัวว่าแบตเตอรี่จะหมดกลางทางก่อนจะเจอสถานีชาร์จไฟสักแห่ง
ทาง BMW เองก็ทราบถึงความกังวลใจนี้ดี ล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จึงเปิดตัวบริการ BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance ที่รวมเอาความสมาร์ทแบบอนาคตมารวมกับรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่และประเมินระยะทางที่สามารถแล่นได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลืออยู่ รวมทั้งข้อมูลการบำรุงรักษาครบครัน ซ้ำยังสามารถค้นหาสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดเพื่อลดความกังวลใจของผู้ใช้ และยังควบคุมระบบต่างๆ ของรถ เช่น เปิดเครื่องปรับอากาศ ตั้งเวลาการชาร์จไฟ ทั้งหมดนี้ผู้ใช้สามารถควบคุมได้จากระยะไกลด้วยแอปฯ BMW Connected ในมือถือของเราเอง
และด้วยการร่วมมือกับไมโครซอฟท์ อาซัวร์ ระบบคลาวด์อัจฉริยะระดับโลก ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเก็บข้อมูลการขับขี่และวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลนี้ได้ เพื่อนำไปต่อยอดสำหรับพัฒนาการใช้งานรถยนต์แบบใหม่ๆ และการตอบสนองการขับขี่แบบใหม่ๆ ในอนาคต
ภายใน พ.ศ. 2568 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากถึง 25 รุ่น ในจำนวนนั้นจะมีถึง 12 รุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ เพื่อตอบสนองตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคต
ไลฟ์สไตล์ของมนุษย์พัฒนาไปมากจากวันที่กระแสสิ่งแวดล้อมบูมขึ้น ในวันนี้เราใช้ชีวิตกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อความสะดวกสบายของเรา แต่ยังให้ธรรมชาติยั่งยืนด้วย
- บริการ BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์ BMW iPerformance จะมาพร้อมรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เป็นต้นไป รุ่นที่รองรับคือ BMW 330e, BMW 530e และ BMW 740Le ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw.co.th/th/topics/fascination-bmw/connected-drive/overview.html