ผลการสำรวจล่าสุดของ Markets Live Pulse โดย Bloomberg เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 ธันวาคม) พบว่า ดัชนี S&P 500 จะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 เนื่องจากสหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภาวะถดถอย (Recession) ได้ แม้ว่ากำลังการบริโภคภายในประเทศจะอ่อนแอลงก็ตาม
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือว่า กำลังการบริโภคที่หดตัวลงของสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลต่อภาพรวมการเติบโตในตลาดหุ้น เพียงแต่ทำให้ดัชนี S&P 500 ในปีหน้าพุ่งขึ้นน้อยกว่าปีนี้ 20% เท่านั้น
รายงานระบุว่า ค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถาม 518 คนคาดว่า ดัชนี S&P 500 จะเพิ่มขึ้นแตะ 4,808 จุดในปี 2024 ซึ่งอยู่เหนือจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 4,797 จุดในเดือนมกราคม 2022 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีจะลดลงเหลือ 3.8% จากระดับสูงสุดในปีนี้ที่ 5%
ขณะเดียวกัน มากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า พวกเขาไม่เห็นว่า Hard Landing เป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ ของตลาด และส่วนใหญ่คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะเริ่มขึ้นก่อนเดือนกรกฎาคมปีหน้า
Aneeka Gupta ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐศาสตร์มหภาคของ WisdomTree กล่าวว่า ความโดดเด่นทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคง โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือฉากหลังทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับจีนและยุโรป ทำให้การปรับปรุงประมาณการกำไรและการประเมินมูลค่าสำหรับ S&P 500 เป็นบวกมากกว่า
ทั้งนี้ แนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นข้างต้นนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการคาดการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ เมื่อความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่แข็งกร้าวของ Fed เพื่อสกัดเงินเฟ้อ จนเสี่ยงต่อภาวะถดถอยของสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมรับมือกับตลาดที่ผันผวน แต่ท้ายที่สุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็แสดงให้เห็นความยืดหยุ่นที่สามารถฝ่าฟันการคาดการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดของตลาดมาได้ โดยตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงมีความยืดหยุ่น และผลประกอบการของบรรดาบริษัทสัญชาติอเมริกันก็ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
บรรดานักยุทธศาสตร์ชั้นนำของ Wall Street รวมถึง Deutsche Bank AG และ RBC Capital Markets ต่างก็คาดการณ์ถึงจุดสูงสุดตลอดกาลของหุ้นสหรัฐฯ ในปีหน้า โดยระบุว่า ดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีอัตราสูงขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะมองโลกในแง่ดี Michael Hartnett นักยุทธศาสตร์ของ Bank of America กล่าวว่า แม้อัตราผลตอบแทนที่ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้กระตุ้นให้หุ้นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่การลดลงอีกเกือบ 3% ในปีหน้าจะส่งสัญญาณถึงเศรษฐกิจที่ถดถอยและจบลงด้วยการกดดันหุ้น ขณะที่การสำรวจของ Bloomberg เองก็พบว่า ผู้เข้าร่วมการสำรวจประมาณ 33% คาดการณ์ว่า ผู้บริโภคที่เหนื่อยล้าจะเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นในปีหน้า
นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยของการสำรวจครั้งนี้ยังชี้ว่า แม้ราคาหุ้นปีหน้าจะสามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่จะเป็นการขยับขึ้นเพียงแค่ประมาณ 4% จากระดับปัจจุบันของดัชนี S&P 500 ซึ่งต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 19% ที่บันทึกไว้ในปีที่ดัชนีพุ่ง ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg
Richard Flax ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Moneyfarm ผู้จัดการความมั่งคั่งดิจิทัลของยุโรป กล่าวว่า ตนเองเห็นความตึงเครียดเล็กน้อยระหว่างการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปได้กับตลาดตราสารทุน และตลาดขณะนี้กำลังโน้มตัวไปสู่สถานการณ์ที่การเติบโตชะลอตัว ดังนั้น รายได้ของบริษัทในตลาดบางส่วนจะลดลง ทำให้ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการลงทุนในหุ้นในปี 2024
ด้านนักยุทธศาสตร์ของ Goldman Sachs Group กล่าวว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดคือลงทุนในหุ้นต่อไป และหลีกเลี่ยงการเร่งรีบขาย (Urge to Sell) ในช่วงที่มีความผันผวน ซึ่งผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามของ Bloomberg ในครั้งนี้ หรือ MLIV กำลังวางแผนที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว โดย 26% กล่าวว่า พวกเขาจะเพิ่มการถือครองของตนในเดือนหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแบบสำรวจเดียวกันที่ดำเนินการในเดือนสิงหาคม 2022
กระนั้น หุ้นใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้เข้าไปลงทุน โดย 43% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า หุ้นเหล่านั้นจะยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่าหุ้นอื่นๆ ในระดับนานาชาติในปี 2024 โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นแซงหน้าตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 8 ปี จากทั้งหมด 10 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่คร่ำหวอดในตลาดมานานก็เริ่มมองหาหุ้นตัวเล็กๆ เป็นหุ้นทางเลือก โดยเน้นที่หุ้น Value Shares เป็นหลัก นอกเหนือจากหุ้นยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีที่ครองตลาดมานานอย่าง Apple, Tesla และ NVIDIA บ้างแล้ว
Shanti Kelemen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ M&G Wealth กล่าวว่า อย่าคาดหวังว่าหุ้น Magnificent Seven ซึ่งหมายถึงหุ้นยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี 7 แห่งของสหรัฐฯ จะยั่งยืนในระยะยาว โดยส่วนตัว Kelemen มองว่า หุ้นที่วัดด้วยการประเมินมูลค่ามีความน่าสนใจมากกว่ามากในส่วนอื่นๆ ของตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทในภาคส่วนดั้งเดิมนำ AI มาใช้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
นอกจากนี้ แบบสอบถามยังได้ถามถึงการบาร์เกนครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นในปีหน้า บรรดาผู้เข้าร่วมการสำรวจต่างชี้ไปที่ตลาดเกิดใหม่นอกประเทศจีนอย่างท่วมท้น หลังดัชนี Hang Seng ของตลาดฮ่องกงมีแนวโน้มมุ่งสู่การขาดทุนเป็นปีที่ 4 ในปีนี้ ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวในปีหน้า ขณะที่ทองคำคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5%
อ้างอิง: