×

‘Black Lives Matter’ เหตุผลที่นักกีฬาตบเท้าเข้าแถวหน้าเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้แก่คนผิวดำ

02.06.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 mins. read
  • ความตายของจอร์จ ฟลอยด์ ทำให้คนในวงการกีฬาลุกฮือรวมถึงหนึ่งในเพื่อนวัยเด็กของเขาอย่าง สตีเฟน แจ็คสัน อดีตนักบาสเกตบอลทีมซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส ที่เป็นหนึ่งในแกนนำผู้ชุมนุม
  • การคุกเข่ากลายเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์สากลในเรื่องนี้ พร้อมกับแฮชแท็ก #BlackLivesMatter หรือชีวิตคนผิวดำก็มีค่า ซึ่งเป็นการยกระดับการเรียกร้องที่ไปไกลกว่าแค่ชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ แต่เป็นชีวิตของคนผิวดำทุกคน
  • ภาพของนักฟุตบอลลิเวอร์พูลทั้งทีมที่นั่งคุกเข่ากลางสนาม เกิดขึ้นจากการผลักดันของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม รองกัปตันลำดับที่ 3 และ 4 ของทีมที่ได้แรงบันดาลใจจากนักเตะในบุนเดสลีกา และเรียน บรูว์สเตอร์ กองหน้าดาวรุ่งของทีมที่โพสต์ข้อความเรียกร้องที่กินใจ
  • ไทเกอร์ วูดส์ พญาเสือแห่งวงการกอล์ฟไม่เพียงแต่จะออกแถลงการณ์เพื่อยืนเคียงข้างกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้จอร์จ ฟลอยด์ แต่เลือกที่จะออกมาเตือนสติทุกคนไปด้วยในเวลาเดียวกัน หลังการชุมนุมเริ่มเปลี่ยนเป็นการจลาจลในหลายพื้นที่

#BlackLivesMatter เสียงกู่ร้องนี้กำลังดังกังวานขึ้นทุกทีที่เข็มนาฬิกาเดินผ่านไป โดยเฉพาะในโลกของกีฬา – โลกอีกใบที่ประสบปัญหาเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันเพียงเพราะสีผิวที่แตกต่าง – เวลานี้พวกเขาจำนวนไม่น้อยที่เลือกแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ความอยุติธรรมนี้ผ่านไป

 

จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญกับภาพของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวผิวดำชาวสหรัฐฯ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจับกุมตัวด้วยข้อหาการใช้ธนบัตรปลอม แต่การจับกุมนั้นกลับกลายเป็นการฆาตกรรมในเวลาต่อมา เมื่อชายผู้โชคร้ายเสียชีวิตในเวลาต่อมาเพราะเข่าที่กดลงบนคอของเขาทำให้เขาขาดอากาศหายใจ

 

และทั้งๆ ที่ระหว่างการจับกุมชายคนดังกล่าวได้วิงวอนร้องขอความเมตตาด้วยการบอกว่าเขาหายใจไม่ออก และไม่ได้ดูมีท่าทีที่ขัดขืน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจรายดังกล่าว รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 3 รายที่อยู่ในเหตุการณ์กลับเพิกเฉย

 

ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกมองว่ากระทำการโดยมีอคติในใจเป็นที่ตั้ง ด้วยการปราศจากความเมตตาที่สะท้อนออกมาผ่านการกระทำ สีหน้า และที่สำคัญที่สุดคือแววตา เป็นเหตุให้ผู้คนออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ชายผิวสีผู้โชคร้ายคนดังกล่าว

 

หนึ่งในนั้นคือ สตีเฟน แจ็คสัน อดีตนักบาสเกตบอลระดับแชมเปี้ยน NBA ของทีมซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส ชุดแชมป์เมื่อปี 2003 

 

แจ็คสันไม่สามารถยอมรับความตายของฟลอยด์แบบนี้ได้ เพราะชายผิวดำคนนี้ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นชนกลุ่มเดียวกัน แต่เป็นเพราะชายคนนี้คือเพื่อนรักของเขาครั้งเยาว์วัย 

 

“นี่ไม่ควรจะเป็นวิธีที่เขาต้องจากไป” แจ็คสันให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNN ด้วยความเจ็บปวด

 

“เขาไม่สมควรได้รับความตายเช่นนี้ แต่ด้วยการสนับสนุนของผู้คนที่มีต่อเขา ที่ยืนหยัดเพื่อเขา ด้วยหนทางที่ผมได้ยืนหยัดขึ้นเพื่อเขา ความตายของเขาจะไม่มีวันสูญเปล่า

 

“ความยุติธรรมคืออะไร ผมไม่สามารถแม้แต่จะตอบคำถามนี้ได้ ผมเห็นคนผิวดำมากมายที่ถูกฆ่า ส่วนเจ้าหน้าที่ถูกไล่ออกพร้อมกับได้รับเงิน แต่ไม่เคยจำคุก”

 

เพื่อเพื่อนรัก แจ็คสัน เป็นหนึ่งในคนที่ออกไปร่วมเดินขบวนประท้วงตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งเป็นหนึ่งในการจุดชนวนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้งของอเมริกันชน

 

 

 

‘คุณเข้าใจหรือยัง-หรือหนูจะเป็นคนต่อไป-ผมเห็นนะว่าใครที่นิ่งเงียบ’ 

แม้จะเป็นอดีตแชมป์ แต่แจ็คสันไม่ใช่นักกีฬาในยุคปัจจุบัน และผู้คนจดจำเขาได้น้อยนิด เสียงของเขาจึงอาจจะดังไม่พอ

 

แต่โชคดีที่ภาพลมหายใจที่ถูกพรากไปของจอร์จ ฟลอยด์ ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ และมันทำให้ผู้คนทั้งโลกได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู และรู้สึกด้วยหัวใจ ซึ่งคนเหล่านั้นได้รวมถึงเหล่า ‘ไอคอน’ ของวงการกีฬาในยุคปัจจุบันอย่าง เลอบรอน เจมส์, โคโค กอฟฟ์ และลูอิส แฮมิลตัน

 

‘คิงเจมส์’ เป็นคนแรกๆ ที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมในเรื่องนี้ด้วยการโพสต์ภาพของคนคุกเข่า 2 คนบนโซเชียลมีเดีย

 

ภาพของคนคุกเข่าทางซ้ายคือนายตำรวจใจทมิฬที่กดเข่าของเขาลงบนคอของชายผู้โชคร้าย ขณะที่คนคุกเข่าทางขวาคือชายที่เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังผู้ปฏิเสธจะยอมรับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกนี้เมื่อหลายปีก่อน

 

ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของ NBA ยุคนี้เขียนประโยคอธิบายภาพดังกล่าวง่ายๆ ว่า ตอนนี้พวกคุณเข้าใจหรือยัง หรือคุณยังเห็นมันไม่ชัดอีก พร้อมติดแฮชแท็ก #StayWoke เพื่อเป็นการบอกกับทุกคนให้เข้าใจตรงกัน

 

เพราะการที่สังคมอเมริกันมีคนที่เป็นพวกเดียวกับคนทางซ้าย และคนโชคร้ายที่เป็นที่รองเข่าให้เขา จึงต้องมีคนคุกเข่าแบบคนทางขวาที่ปฏิเสธจะยอมรับสิ่งที่คนทางซ้ายทำ

 

แน่นอนว่าในการต่อสู้แบบนี้หนึ่งในผู้นำซึ่งเป็นคนทางขวาในภาพที่ เลอบรอน เจมส์ โพสต์อย่างโคลิน เคเปอร์นิก ย่อมไม่สามารถนิ่งเฉยได้

 

อดีตนักกีฬาชื่อก้องที่ปัจจุบันกลายเป็นไอคอนของการต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม ส่งข้อความถึงทุกคนว่า “เมื่อความเป็นพลเมืองดีนำไปสู่ความตาย การปฏิวัติจึงเป็นการตอบโต้ที่เป็นเหตุเป็นผลเพียงอย่างเดียว

 

“หยาดน้ำตาเพื่อความสงบสุขจะพรั่งพรูลงมา และเมื่อมันหล่นลงมา มันจะหล่นลงบนใบหูที่ไม่รับรู้ถึงเสียงใดๆ เพราะความรุนแรงของพวกคุณนั่นเองที่ทำให้เกิดการต่อต้านครั้งนี้

 

“เรามีสิทธิ์ที่จะสู้กลับ!”

 

อีกหนึ่งคนที่ตัดสินใจจะยืนหยัดขึ้นสู้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา คือเด็กน้อยอายุเพียง 16 ปีอย่างโคโค กอฟฟ์ 

 

นักเทนนิสสาวน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตัดสินใจที่จะส่งเสียงของเธอออกมาเพื่อเรียกร้องให้ทุกคนได้รับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับจอร์จ ฟลอยด์ และคนผิวดำอีกมากมายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้ 

 

“นี่คือเหตุผลที่หนูถึงออกมาส่งเสียงเพื่อต่อสู้กับการเหยียดสีผิว” ก่อนที่วิดีโอบน TikTok ซึ่งปกติแล้วเป็นโซเชียลมีเดียแห่งความบันเทิงทะลุมิติจะจบลงด้วยภาพของโคโค ที่ยืนและทำท่าพยายามยกมือขึ้นเพื่อมอบตัวพร้อมกับคำถามที่ทะลุกลางใจทุกคน

 

“หรือหนูจะเป็นคนต่อไป?”

เสียงของกอฟฟ์มาพร้อมกับเสียงของนักเทนนิสหญิงในระดับสูงสุดของวงการอย่างเซเรนา วิลเลียมส์ อดีตราชินีคอร์ตผู้แข็งแกร่ง และที่น่าประหลาดใจคือการออกมาเรียกร้องความยุติธรรมของนาโอมิ โอซากะ นักเทนนิสหญิงชาวญี่ปุ่นผู้มีสายเลือดของชาวเฮติของพ่อไหลเวียนในกาย 

 

ปกติแล้วนาโอมิเป็นนักกีฬาที่ขี้อาย แต่เพียงไม่นานมานี้เองที่เธอออกมายอมรับว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่เฉยๆ เพราะโควิด-19 ทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่อาจปล่อยให้ความขี้อายเป็นตัวฉุดรั้งชีวิตไว้ และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะก้าวออกมาร่วมต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย

 

อีกหนึ่งคนที่เปล่งเสียงอันทรงพลังออกมาคือลูอิส แฮมิลตัน ยอดนักขับอันดับหนึ่งของโลกเวลานี้ที่เริ่มจากการรีโพสต์ภาพของเลอบรอน เจมส์ ก่อนที่จะโพสต์ข้อความที่แทงใจดำของคนร่วมวงการฟอร์มูลาวันทุกคน

 

แชมป์โลก 6 สมัยชาวอังกฤษฝากถึงคนในวงการฟอร์มูลาวันอย่างตรงไปตรงมาว่า “เขาเห็นว่าใครบ้างที่นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้

 

“ผมเห็นพวกคุณที่ยังคงเงียบอยู่ บางคนเป็นดาวเด่น แต่พวกคุณกลับนิ่งเงียบท่ามกลางความอยุติธรรม” ข้อความของแฮมิลตันบนโซเชียลมีเดีย “ไม่มีสัญญาณใดๆ จากคนในอุตสาหกรรมของผม ซึ่งแน่นอนว่าเพราะนี่คือกีฬาที่คนขาวครอบครอง 

 

“ผมเป็นคนผิวสีคนเดียว ผมเลยต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว ผมคิดว่าตอนนี้พวกคุณคงจะได้เห็นแล้วว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นและแสดงความเห็นออกมา แต่พวกคุณกลับไม่ยืนหยัดเคียงข้างพวกเรา แค่จะบอกว่าผมรู้ว่าพวกคุณคือใคร และผมมองเห็นคุณอยู่

 

“การปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการสอนในประเทศของคุณเกี่ยวกับเรื่องของความเสมอภาค เชื้อชาติ ชนชั้น ว่าพวกเรานั้นต่างก็เป็นคนเหมือนกัน เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับการเหยียดเชื้อชาติหรือมีความเกลียดชังในหัวใจ แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกสอนโดยคนที่เรามองเป็นตัวอย่าง”

 

 

เพราะชีวิตคนผิวดำก็มีค่า

เสียงอันดังที่เปล่งออกมาจากเหล่านักกีฬาในระดับไอคอนเหล่านี้ได้ถูกสะท้อนต่อด้วยนักกีฬาทั่วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็นในระดับใดก็ตาม

 

ในสนามแข่ง เวสตัน แม็คเคนนี กัปตันทีมชาลเก้ 04 ซึ่งเป็นสตาร์ลูกหนังของทีมชาติสหรัฐฯ สวมปลอกแขนที่มีข้อความเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่จอร์จ ฟลอยด์

 

ข้อความแบบเดียวกันปรากฏบนเสื้อของจาดอน ซานโช ปีกเทวดาของทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ตัดสินใจร่วมเรียกร้องความยุติธรรมด้วยในวันสำคัญที่เขาสามารถทำแฮตทริกครั้งแรกในชีวิตได้ เพราะตระหนักว่าชีวิตของคนและความสำคัญของการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในสังคมนั้นสำคัญกว่า โดยที่เพื่อนร่วมทีม อัชราฟ ฮาคิมี เองก็แสดงเสื้อที่มีข้อความแบบเดียวกัน

 

มาร์คัส ตูราม กองหน้าทีมโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค บุตรชายของตำนานลูกหนัง ลิลิยอง ตูราม ซึ่งเคยผ่านพบความเลวร้ายของการเหยียดสีผิวมานักต่อนัก ได้แสดงออกด้วยการคุกเข่าเรียกร้องความยุติธรรมด้วยเช่นกัน

 

การคุกเข่ากลายเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์สากลในเรื่องนี้ พร้อมกับแฮชแท็ก #BlackLivesMatter หรือชีวิตคนผิวดำก็มีค่า ซึ่งเป็นการยกระดับการเรียกร้องที่ไปไกลกว่าแค่ชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ แต่เป็นชีวิตของคนผิวดำทุกคน

 

นั่นทำให้นักฟุตบอลทีมลิเวอร์พูลทั้งทีมรวม 29 คนและสตาฟฟ์โค้ชร่วมกันคุกเข่าขวาที่วงกลมกลางสนาม ซึ่งภาพนี้ได้ถูกทุกคนในทีมนำไปโพสต์พร้อมกันด้วยข้อความแบบเดียวกัน

 

Unity is strength #BlackLivesMatter

 

สามัคคีคือพลัง ชีวิตคนผิวดำก็มีค่า

ภาพนี้เป็นภาพที่ทรงพลังอย่างมาก และสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาล ไม่เฉพาะต่อวงการฟุตบอลจากการที่พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่มีชื่อเสียงและมีแฟนฟุตบอลมากที่สุดในโลก แต่ยังส่งผลต่อผู้คนอีกมากมายทั่วโลกที่ได้ตระหนักถึงปัญหาและความสูญเสียที่เกิดขึ้น

 

สำหรับคนต้นคิดของการถ่ายภาพประวัติศาสตร์นี้มาจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม สองนักเตะชาวดัตช์ซึ่งเป็นนักฟุตบอลที่มีเชื้อสายแอฟริกันที่เสนอให้ทั้งทีมร่วมกันแสดงพลังด้วยกัน และได้รับการตอบรับอย่างดีจากเพื่อนร่วมทีมทุกคน

 

ทั้งฟาน ไดจ์ค และไวจ์นัลดุมเองก็ได้แรงบันดาลใจจากเหล่านักเตะในบุนเดสลีกา

 

และที่สำคัญคือแรงบันดาลใจจากเจ้าหนูน้อยในทีมอย่าง เรียน บรูว์สเตอร์ กองหน้าดาวรุ่งในทีม ซึ่งโพสต์ภาพของเขาสัมผัสมือกับแฮร์รี วิลสัน เพื่อนร่วมทีมที่เป็นนักฟุตบอลผิวขาว ซึ่งข้อความที่ดาวรุ่งวัย 19 ปีรายนี้เขียนเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด

 

ที่น่าเจ็บปวดนั้นเพราะแม้จะเล่นฟุตบอลอาชีพได้ไม่นาน แต่บรูว์สเตอร์เองก็เผชิญกับการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรงในระหว่างการเล่นฟุตบอลระดับเยาวชน เรียกว่ามีประสบการณ์ตรง ซึ่งมันไม่ได้หยุดแค่ในสนามด้วยซ้ำ

 

“ปัญหาเรื่องนี้ลึกซึ้งเกินกว่าแค่จะชี้หน้าว่าใครที่นิ่งเฉยและใครที่ลุกขึ้นพูด” บรูว์สเตอร์ทวีตข้อความ “มันเป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับพวกเราที่เป็นคนผิวดำหรือผิวน้ำตาล แต่นี่คือชีวิตจริง และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทุกวันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ตลอดหลายปีและหลายชั่วอายุคน พวกเราเรียกร้องถึงการเปลี่ยนแปลง และการจะให้ใครได้ยินนั้นก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ยังดำเนินต่อไป

 

“เราได้ดูภาพยนตร์อย่างเรื่อง Roots เราได้ดูเรื่อง Boyz n the Hood ที่ซึ่งความจริงถูกปกปิดและจัดฉาก แต่เราก็ยังได้ใช้ชีวิตจริงเหมือนชีวิตในหนัง ในวันนี้ของปี 2020 เรื่องนี้มันไปไกลกว่าแค่ #JusticeForGeorgeFloyd เราต้องการความยุติธรรมสำหรับพวกเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราไม่ได้ต้องการสิทธิพิเศษใดๆ เราแค่ต้องการสนามแข่งที่เท่าเทียมกัน และเป็นสิ่งที่เราเรียกร้องตลอดมา และจะเรียกร้องตลอดไป ได้โปรดได้ยินพวกเราเถิด #BlackLivesMatter”

 

ที่อีกฟากของถนนสาย M62 ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ สองซูเปอร์สตาร์ของทีมคู่ปรับ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และปอล ป็อกบา เองก็ไม่ลังเลที่จะออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องนี้

 

 

แรชฟอร์ดยอมรับว่าเขาใช้เวลาหลายวันที่ผ่านมาในการประมวลสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนจะได้ข้อสรุปว่ามันถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันแล้ว

 

“ผมรู้ว่าพวกคุณไม่ได้ยินอะไรจากผมในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมพยายามที่จะประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก ถึงตรงนี้ผมอยากขอร้องให้ทุกคนออกมาร่วมมือกัน และเป็นหนึ่งเดียวกัน ในสายตาผมทุกวันนี้เราแบ่งแยกมากกว่าในยุคไหน มีคนที่เจ็บปวดและคนที่ต้องการได้รับคำตอบ”

 

กองหน้าวัย 22 ปียังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของชีวิตคนผิวดำ รวมถึงวัฒนธรรมของคนผิวดำ และสังคมของคนผิวดำที่มีความสำคัญเหมือนทุกสังคม

 

ปอล ป็อกบา กองกลางที่มีผู้ติดตามถึง 41 ล้านคนเองก็ออกมาร่วมเรียกร้องพร้อมกับแรชฟอร์ด 

 

“เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับจอร์จ และสำหรับคนผิวดำทุกคนที่ต้องเจอกับการเหยียดสีผิวทุกวัน! ไม่ว่าจะในเกมฟุตบอล ที่ทำงาน ที่โรงเรียน เรื่องนี้เกิดขึ้นทุกที่! มันถึงเวลาแล้วที่เรื่องนี้จะต้องหยุด ไม่ใช่แค่วันนี้แต่เป็นตลอดไป และไม่ใช่มันจะต้องจบในวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไป มันควรจะต้องจบในวันนี้ การใช้ความรุนแรงเพราะต้องการเหยียดผิวเป็นสิ่งที่เราไม่ควรยอมให้มันเกิดขึ้นอีกต่อไป ผมไม่สามารถยอมให้มันเกิดขึ้นได้ ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น พวกเราต้องไม่ให้มันเกิดขึ้น การเหยียดผิวคือความขลาดเขลา ความรักคือปัญญา”

 

เสียงนั้นยังถูกสะท้อนโดยนักกีฬาระดับไอคอนที่ตัดสินใจลุกขึ้นยืนหยัดในเรื่องนี้ด้วย

 

เดวิด เบ็คแฮม ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลซึ่งเป็นนักฟุตบอลผิวขาวก็ทำใจยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้ “ผมขอส่งความรู้สึกเสียใจถึงครอบครัวของจอร์จ และผมขอยืนหยัดร่วมกับสังคมคนผิวดำ และคนอีกหลายล้านคนทั่วโลกที่ลุกขึ้นยืนหยัดในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจสลายที่ในปี 2020 แล้วแต่เรื่องเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้น

 

การประท้วงเริ่มบานปลายกลายเป็นจลาจล ใกล้เป็นแดนมิคสัญญี

 

การต่อสู้ไม่ได้รู้แพ้ชนะที่ความรุนแรง

อย่างไรก็ดี การประท้วงที่ลุกลามไปทั่วไม่สามารถรวมความรู้สึกของคนทั่วไปได้ทั้งหมด เหตุผลเพราะการต่อสู้นั้นเริ่มถูกบิดเบือนด้วยการกระทำของคนกลุ่มหนึ่ง

 

กลุ่มที่เลือกจะใช้ความรุนแรง เลือกจะทำร้ายมากกว่าพูดคุย หรือเลือกที่จะปล้นและทำลายข้าวของ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการต่อสู้เลย

 

ไทเกอร์ วูดส์ พญาเสือแห่งวงการกอล์ฟไม่เพียงแต่จะออกแถลงการณ์เพื่อยืนเคียงข้างกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้จอร์จ ฟลอยด์ แต่เลือกที่จะออกมาเตือนสติทุกคนไปด้วยในเวลาเดียวกัน

 

“ผมจำการจราจลในแอลเอ และได้เรียนรู้ว่าการศึกษาคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรื่องนี้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ เราสามารถแสดงจุดยืนของเราได้โดยไม่จำเป็นต้องเผาบ้านเรือนของเพื่อนบ้านที่เราอาศัยอยู่ใกล้กัน ผมหวังว่าด้วยบทสนทนาที่สร้างสรรค์และจริงใจ เราจะสามารถสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นหนึ่งเดียวกันได้”

 

ขณะที่ ไมเคิล จอร์แดน ตำนานนักบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ที่ในยามปกติแล้วปฏิเสธจะให้ความเห็นทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งแตกต่างจากตำนานรุ่นพี่อย่าง คารีม อับดุล-จาบบาร์ และรุ่นลูกอย่าง เลอบรอน เจมส์ ที่พร้อมต่อสู้ยืนหยัดเพื่อผู้อื่นมาโดยตลอดเองก็ไม่สามารถอดทนต่อเรื่องนี้ได้ไหว

 

MJ ออกแถลงการณ์ผ่านทีมบาสเกตบอลของเขา ชาร์ล็อตต์ ฮอร์เน็ตส์ว่า “ผมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เจ็บปวดอย่างแท้จริง และโกรธแค้น

 

“ผมได้เห็นและรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของทุกคน ความโกรธแค้น และความผิดหวัง ผมยืนหยัดร่วมกับทุกคนที่เรียกร้องในปัญหาการเหยียดสีผิวที่หยั่งรากฝังลึก และความรุนแรงที่ใช้กับคนผิวสีในประเทศของเรา พวกเราเจอสิ่งนี้กันมามากพอแล้ว

 

เพียงแต่การจะหาคำตอบและทางออกในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาหรือใครจะชี้แนะได้ ปัญหาจะได้รับการแก้ต่อเมื่อมีการพูดคุยและรับฟังกันและกัน รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงในระบบ

 

“ผมไม่มีคำตอบให้ แต่เสียงของเราทุกคนแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และการที่จะไม่มีใครมาแบ่งแยกพวกเราได้ เราต้องรับฟังกันและกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจกัน มีน้ำใจให้แก่กัน และอย่าหันหลังให้แก่ความรุนแรงที่ไร้เหตุผลอย่างเด็ดขาด เราต้องแสดงออกในการต่อต้านความอยุติธรรม และเรียกร้องความรับผิดชอบอย่างสงบ

 

“เสียงที่เป็นหนึ่งเดียวจะกดดันให้ผู้นำของเราต้องทำการเปลี่ยนแปลงกฎหมายของเรา หรือไม่เช่นนั้นเราจะใช้การลงคะแนนเสียงของเราในการเปลี่ยนแปลงระบบ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการหาทางออก และเราต้องพยายามร่วมมือกันเพื่อทำให้เกิดความยุติธรรมสำหรับทุกคน

 

“หัวใจของผมอยู่กับครอบครัวของจอร์จ ฟลอยด์ และผู้คนอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ชีวิตต้องพบเจอกับความรุนแรง และถูกพรากไปจากการเหยียดผิวและความอยุติธรรมที่ไร้หัวใจ”

 

ปัญหาการเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติ เป็นเรื่องที่หยั่งรากฝังลึกมานาน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่อเมริกา แต่มีขึ้นทุกที่บนโลก

 

ปัญหาที่ยิ่งใหญ่นี้จึงไม่ใช่เรื่องของคนผิวดำ ผิวน้ำตาล หรือผิวเหลือง แต่เป็นปัญหาของคนทุกสีผิว ทุกชาติพันธุ์ที่จะต้องร่วมใจกันเพื่อแก้ไข เหมือนครั้งหนึ่งที่มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ เคยสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอเมริกาด้วยการเดินขบวนประท้วง

 

การเดินขบวนครั้งนั้นประกอบไปด้วยชนทุกชนอย่างแท้จริง ไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนเป็นหนึ่งเดียว

 

นักกีฬาเองก็ถือเป็นชนอีกกลุ่ม และครั้งนี้พวกเขาบางส่วน – ซึ่งเป็นส่วนและเสียงที่สำคัญ – ได้เลือกแล้วที่จะขอเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นคนรับเสียงเชียร์จากทุกคน มาเป็นการส่งเสียงเพรียกถึงทุกคน ให้มาร่วมเดินขบวนในครั้งนี้ 

 

ด้วยตระหนักรู้ว่าชีวิตไม่ว่าของใครต่างก็มีค่าไม่ต่างกัน

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising