วันนี้ (20 พฤษภาคม) เมื่อเวลา 20.00 น. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) หมายเลข 4 พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาถึงบริเวณเวทีปราศรัย ‘เบอร์ 4 เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทําได้’ จัดขึ้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ซึ่งเป็นเวทีปราศรัยครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
สุชัชวีร์ระบุว่า เส้นทางนี้หฤโหดจริงๆ หนักหนาสาหัสจริงๆ พร้อมกับขอขอบคุณทุกประสบการณ์ที่สอนให้ตนต้องมีความเข้มแข็ง อดทน มีสมาธิมากยิ่งขึ้น เพราะหน้าที่หลังจากนี้ การเป็นผู้ว่าฯ กทม. นั้น ต้องใช้พลังกาย พลังหัวใจ และสติปัญญาทุกอย่าง เส้นทางนี้นอกจากได้พบกับเรื่องโหดๆ แล้ว ยังทำให้ตนได้มีโอกาสพบมิตรภาพใหม่ๆ ที่หาไม่ได้ หากไม่ได้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. และตลอด 5 เดือนที่ผ่านมาซึ่งเดินไปมากกว่าล้านก้าว ตนได้พบรอยยิ้มของคนกรุงเทพฯ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่มาพร้อมกับความยากลำบาก เมื่อเดินครบ 50 เขตหลายรอบ ก็ต้องบอกว่ารู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจที่สุดที่มีพี่น้อง ส.ก. 50 คน 50 เขต ร่วมเส้นทางเปลี่ยนกรุงเทพฯ #เราทำได้ไปด้วยกัน และจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด จะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่มุ่งมั่นที่สุด
สุชัชวีร์ ได้กล่าวถึง สาเหตุที่เลือกหัวลำโพงเป็นสถานที่จัดปราศรัย เป็นเพราะ
- ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาได้ เป็นประเทศที่เป็นหนึ่งในเอเชียเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้กำเนิดและสถาปนาการรถไฟแห่งประเทศไทย และประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่มีรถไฟใช้ในทวีปเอเชีย เป็นการประกาศก้องไปทั่วโลกว่าเมื่อ 126 ปีที่แล้วประเทศไทยรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนประเทศพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีหัวรถจักรดีเซลใช้เป็นประเทศแรกในเอเชียก่อนสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
- ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพงในห้องโถงใหญ่ หากเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นรายชื่อของคนไทยรวมทั้งคนต่างชาติที่มาร่วมสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศไทย สายเฉลิมรัชมงคล และหนึ่งในนั้นจะเห็นชื่อของ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ว่าคนไทย ประเทศไทย และกรุงเทพฯ สามารถสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกได้สำเร็จ
- หัวลำโพง เป็นจุดเริ่มต้นของคนกรุงเทพฯ จำนวนมากที่มาจากต่างจังหวัด
- สถานีรถไฟกรุงเทพฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้
สุชัชวีร์กล่าวว่า วันนี้ตนมาเพื่อพูดความจริงและความจริงเท่านั้น พร้อมกับสารภาพว่าวันนี้กรุงเทพฯ มี 4 เรื่องวิกฤต ประกอบด้วย
- วิกฤตจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะภัยจากน้ำท่วม กรุงเทพฯ กำลังจม จม และจม ทั้งจากน้ำฝน น้ำเหนือที่ไหลบ่ามามากขึ้นทุกปี และยังมีน้ำทะเลหนุน ซึ่งเป็นจุดตายของกรุงเทพฯ
- วันนี้กรุงเทพฯ เสียโอกาสไปมาก เพราะความล้าหลังด้านเทคโนโลยี เพราะผู้นำไม่รู้จักใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลประชาชนและแก้ปัญหาซ้ำซาก
- ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกจะใช้โอกาสหลังโควิดในการก้าวกระโดดปรับและปฏิรูปการศึกษา ขณะที่เรื่องการศึกษา ไม่มีผู้สมัครผู้ว่าฯ คนไหนเคยทำเรื่องการศึกษามา และเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความรู้ที่ลึกซึ้งถึงจะเปลี่ยนการศึกษาของบ้านเมืองนี้ ดังนั้นหลังโควิดจะทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาห่างขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้ผู้ว่าฯ กทม. ที่มีความรู้ความเข้าใจและผลักดันเรื่องการศึกษาอย่างจริงจัง
- ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบในปีนี้ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรทั้งหมด และในกรุงเทพฯ เขาว่า มีมากกว่า 1.2 ล้านคน แต่เมื่อตนลงพื้นที่ก็พบว่ามีผู้สูงอายุแทบทุกบ้าน เพราะฉะนั้นตัวเลข 1.2 ล้านคนจึงไม่น่าจะใช่ แต่จะมากกว่านั้น และภายใน 4 ปี ผู้สูงอายุจะมีมากขึ้นจนแตะที่ 2 ล้านคน
“วิกฤตภัยธรรมชาติ น้ำท่วม หนักขึ้นกรุงเทพฯ จะจมๆๆ ถ้าไม่ได้มืออาชีพที่มีความรู้เรื่องดินน้ำมาแก้ปัญหา มาบัญชาการจริงๆ เรื่องของเทคโนโลยี ถ้าเราล้าหลังไปแล้วมันตามไม่ทัน เพราะวันนี้คนใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตครองโลก สาม การศึกษาคือการเปลี่ยนชีวิตคน ทำให้ประเทศไทยสามารถยืนแข็งๆ แข่งกับประเทศอื่นได้ สี่ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ถ้าเกิดผมมาคนเดียว มันทำไม่ได้หรอกที่จะยกระดับเป็นกรุงเทพฯ ได้ทั้ง 4 ด้าน ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบเบ็ดเสร็จ ทำกรุงเทพฯ ทันสมัยใช้อินเทอร์เน็ตฟรี ในการดูแลลูกหลานท่านให้เข้าถึงการศึกษาที่ดีที่สุดใกล้บ้าน ในการดูแลพ่อแม่ท่านให้มีโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 69 แห่ง 80 แห่ง ต้องได้ ส.ก. จากพรรคประชาธิปัตย์ 50 เขต 50 คน มาร่วมทำงานด้วย”
สุชัชวีร์กล่าวว่า ผู้ว่าฯ กทม. ทำหน้าที่ช่าง และต้องเป็นช่างที่ต้องรู้จริง ปะให้ถูกที่ สร้างใหม่ให้ถูกจุด เป็นหน้าที่ของคนที่ต้องเป็นแม่บ้าน เป็นพ่อบ้านที่ดูแลเรื่องการศึกษาลูกให้มีคุณภาพ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้เข้าถึงหมอที่ดีโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ ดังนั้นด้วยเหตุผล 4 ข้อที่ทำไมวันที่ 22 พฤษภาคม ต้องให้การสนับสนุน ‘สุชัชวีร์ เบอร์ 4’ เป็นผู้ว่าฯ กทม. พร้อม ส.ก. ประชาธิปัตย์ 50 เขต 50 คน เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้ ประกอบด้วย
ข้อ 1 จากการที่กรุงเทพฯ ต้องเจอฝนตก รถติด และปัญหาที่หนักหนา สุชัชวีร์มีความพร้อมที่สุดทางด้านวิชาการ เพราะบ้านนี้เมืองนี้ถ้าไม่ใช้หลักวิชาการแก้ปัญหามันก็แก้ไม่ได้ มันต้องปะผุอยู่ร่ำไป และกรุงเทพฯ ไม่ใช่เวทีในการลองผิดลองถูก ต้องได้คนที่รู้จริง เข้าใจหลักวิชาการ และเข้าใจปัญหาทางด้านวิศวกรรมเท่านั้น
ข้อ 2 สุชัชวีร์ได้ทำไปแล้วทุกอย่างในชีวิต และทำแบบสุด ทั้งเรื่องวิศวกรรมก็เป็นวิศวกรระดับวุฒิ เป็นนายกวิศวกรรม นายกสภาวิศวกรอย่างมุ่งมั่น เป็นนักวิชาการก็ต้องไปให้ถึงศาสตราจารย์ ให้รู้ในเรื่องที่เราทำแบบลึกซึ้ง เป็นผู้บริหารก็เป็นผู้บริหารที่ท้าทายการเปลี่ยนแปลง พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ไปให้สุดเป็นอธิการบดี เป็นประธานที่ประชุมอธิการบดี ดังนั้นขอให้ไว้ใจ ว่าถ้าสุชัชวีร์เป็นผู้ว่าฯ กทม. ประสบการณ์ทั้งหมดจะทุ่มเทให้พี่น้องประชาชนคน กทม. จริงๆ
ข้อ 3 ไม่ว่าสุชัชวีร์จะโดนถาโถมด้วยอะไรก็ตาม ก็ยังยืนแน่น ยืนนิ่ง และพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่สุด ต้อง ‘เปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัยต้นแบบของอาเซียน’ ให้ได้เป็นสวัสดิการที่ลูกๆ เรา ตัวเรา คุณพ่อเรา ได้รับการดูแล ไม่ใช่แค่ดีและถูก แต่ต้องมีคุณภาพเท่าเทียมทั่วถึงและทันสมัย จะใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหากรุงเทพฯ เสียที และในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน และการเป็นต้นแบบอาเซียนเป็นการประกาศชัดว่าผู้ว่าฯ กทม. คนนี้ มั่นใจในพี่น้องคนกรุงเทพฯ และคนไทยทุกคน
ข้อ 4 ปัญหาของ กทม. หนักหนา แสนสาหัส คน กทม. ต้องได้คนที่มีพลังสุดๆ ถึงจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ #เราทำได้ สุชัชวีร์มีพลังมากพอที่จะดูแลพี่น้องประชาชนทุกคน วันที่ 22 เข้าคูหากาเบอร์ 4
“สุดท้ายผมมาขอคะแนนทุกท่าน ในทุกอุดมการณ์ความเชื่อทางการเมือง ผมขอคะแนนท่าน ขอคะแนนครอบครัวท่าน และคนที่รู้จัก วันนี้ผมพร้อมแล้ว ทีม ส.ก. 50 เขต 50 คน ก็พร้อม เหลือแต่ท่าน ผมเดินมา 1 ล้านก้าวแล้ว เหลืออีกก้าวเดียว ที่เป็นก้าวสุดท้าย วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคมนี้ ก้าวเข้าคูหากาเบอร์ 4”