วานนี้ (4 พฤษภาคม) ที่โรงเรียนวัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 เปิดเวทีปราศรัยภายใต้ชื่อ ‘ทีมสุชัชวีร์ คลองสามวา คันนายาว บางเขน มีนบุรี สายไหม หนองจอก #เราทำได้’ โดยสุชัชวีร์ขึ้นเวทีพร้อมด้วย อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. เมธี ลาบานูน ว่าที่ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ทั้ง 6 เขต คลองสามวา มีนบุรี คันนายาว หนองจอก สายไหม และบางเขน
สุชัชวีร์กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ได้ประกาศตัวในวันที่ 13 ธันวาคมปีที่แล้วว่าลงสมัครตำแหน่งนี้ ต้องเจอหลายสิ่งอย่างหนักหนาสาหัส ทุกก้าวที่ได้เดินจนครบทั้ง 50 เขตรู้ว่าคนกรุงเทพฯ ต้องเจอปัญหาอย่างหนักหนา และยิ่งเดินยิ่งทำให้รู้ว่าตนคิดถูกแล้วที่วันนี้มาลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. และประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนว่า กรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยนเป็นเมืองสวัสดิการพื้นฐานที่ทันสมัยต้นแบบอาเซียน
โดยต้องการให้ทุกคนมีโอกาสพื้นฐานเท่ากัน คำว่าสวัสดิการไม่ใช่หมายถึงแค่ถูกและฟรี แต่ต้องถูกและฟรีอย่างมีคุณภาพ ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมด้วย ซึ่งจุดเริ่มต้นของวิสัยทัศน์ สุชัชวีร์ระบุว่าคนคือสิ่งสำคัญที่สุด และกรุงเทพฯ ต้องทันสมัย หลายปีที่ผ่านมากรุงเทพฯ มีโอกาสในการใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหาซ้ำซาก แต่เวลาฝนตกยังต้องรอคนไปไขกุญแจประตูน้ำ แล้วต้องรอคนไปกดเครื่องสูบน้ำ ถ้ากรุงเทพฯ ยังเป็นอย่างนี้ก็ไม่ทันยุคไม่ทันสมัย คนเดือดร้อนที่สุดก็คือพี่น้องประชาชน
ทั้งนี้ จากการเดินลงพื้นที่ 50 เขต ได้เห็นศิลปวัฒนธรรม ได้เห็นทุกศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่รู้สึกเสียดายศักยภาพของคนไทย ทั้งศิลปวัฒนธรรมและธรรมชาติกลับไม่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่ผู้นำที่ต้องมีความมุ่งมั่น มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เพื่อทำให้กรุงเทพฯ ที่มีความพร้อมอยู่แล้วให้ขึ้นมาเป็นต้นแบบของอาเซียน
นอกจากนี้สิ่งที่ตนเห็นความสำคัญที่สุด คือการต่อสู้กับเรื่องโควิด เพราะถ้าโควิดดีขึ้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น ประชาชนก็มีโอกาสได้กลับมาทำงาน ทุกอย่างก็เปิดได้ตามปกติ และจะดีขึ้นทันที มีนักท่องเที่ยวกลับมาเมืองไทย หมอ พยาบาลไปดูแลคนไข้โรคอื่นๆ
สำหรับเรื่องการศึกษา เมื่อสองวันที่แล้วนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมาเยี่ยมที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อมาดูสถาบันโคเซ็น ซึ่งเป็นสถาบันในการสร้างวิชาชีพแก่เด็กตั้งแต่อายุ 15 ปี มาเรียนฟรี ตนรู้สึกภูมิใจมากจากชีวิตการเป็นอธิการบดีของตนได้สร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นบอกว่าเป็นสถาบันที่คนไทยไม่แพ้ใครในโลก แสดงว่าเรื่องนี้ทำได้ระดับโลก แล้วทำไมโรงเรียน 437 แห่งใน กทม. จะทำให้เป็นโรงเรียนที่แข่งขันในระดับอาเซียนไม่ได้
“ใครที่ไม่เชื่อผมไม่ว่า แต่ผมจะทำ แล้วจะทำให้สำเร็จ ด้วยนโยบายภายใน 4 ปี 1 เขต 1 โรงเรียนต้นแบบเปรียบเสมือนโรงเรียนสาธิตของ กทม. ซึ่งปัญหาของการศึกษา กทม. ตอนนี้คือ ใครจะส่งลูกเรียน กทม. ต้องส่งลูกเรียนถึง 4 ครั้ง แต่ผมตั้งใจจะเปลี่ยนโรงเรียน กทม. ให้สู้กับประเทศอื่นได้สักทีหนึ่ง และผมมีความมั่นใจเพราะผมเคยทำสำเร็จมาแล้ว” สุชัชวีร์ระบุ
อย่างไรก็ตาม สุชัชวีร์ขอให้คน กทม. ตั้งความหวังที่จะมีโรงเรียนดีใกล้บ้าน ภายใน 4 ปี ทางเท้าเรียบ เด็กเดินต่อแถวไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ไม่ต้องห่วง ตอนเย็นตอนค่ำไฟสว่าง มีกล้องวงจรปิด WiFi 150,000 จุด พ่อแม่ได้ดูเด็กๆ เดินกลับบ้านอย่างปลอดภัย เพราะสิ่งนี้เป็นภาพของ กทม. ที่ควรจะเป็น และด้วยประสบการณ์ ความมุ่งมั่นในการศึกษา
สำหรับนโยบายด้านสาธารณสุขระบุว่า เมื่อมองแผนที่กรุงเทพฯ จะเห็นว่ามีโรงพยาบาล มีศูนย์บริการสาธารณสุขมากที่สุด อยู่ครอบคลุมทุกพื้นที่ แต่ทำไมเราต้องรวมตัวหนาแน่นที่บางโรงพยาบาล จึงตั้งใจว่าโรงพยาบาลที่ทุกสี่มุมเมือง กทม. นั้นมีอยู่แล้ว ต้องเติมทั้งกำลังแพทย์ พยาบาล และเครื่องมือแพทย์ ด้วยนโยบาย ‘หมอมี สาธารณสุขดี ใกล้บ้าน’
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ไปในหลายชุมชนพบว่ามีคนตกงาน จึงมีความคิดตั้งกองทุนการจ้างงานต่อชุมชนทั่ว กทม. เพราะมองว่าชุมชนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญของ กทม. พร้อมกับยืนยันว่าไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นนโยบายที่ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ด้วยการให้ กทม. เป็นผู้ซื้อผลผลิตจากชุมชน เช่น ให้ชุมชนทำอาหาร ตัดเย็บชุดนักเรียนให้โรงเรียนในเขต เป็นต้น
สำหรับนโยบายอินเทอร์เน็ตฟรี 150,000 จุด สุชัชวีร์กล่าวว่าจะทำให้เปลี่ยนชีวิตคนกรุงเทพฯ ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะวันนี้การเรียนออนไลน์ยังเป็นเรื่องสำคัญ ใครเข้าถึงออนไลน์ได้ชีวิตก็เปลี่ยน แม้แต่ไรเดอร์ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง การแจ้งเหตุฉุกเฉินในชุมชน พร้อมๆ กับการทำให้ชุมชนมีความปลอดภัยได้ อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่าย ด้วยการทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของ กทม. และด้วยเครือข่าย WiFi จะทำให้สามารถติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย ไม่จำเป็นต้องลากสายโดยเฉพาะในชุมชน ซึ่งได้ทำมาแล้วที่ชุมชนซอยพิพัฒน์ 2 ที่เสาต้นเดียวมีทั้งไฟ LED มีกล้องวงจรปิด มีจุด Hotspot WiFi รวมไปถึงมีเครื่องวัดฝุ่น PM2.5 อีกด้วย