รายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ สัมภาษณ์ น.ต. ศิธา ทิวารี ผู้เป็นดีเอ็นเอของพรรคไทยสร้างไทย ก่อนลงชิงผู้ว่าฯ กทม. ‘จากกระแสข่าวคนนอก’ ทำไมเขาถึงตัดสินใจลงรับเลือกตั้งเอง พร้อมโชว์วิสัยทัศน์จากประสบการณ์การลงพื้นที่ กทม. กว่า 20 ปี
บทสัมภาษณ์เผยแพร่ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD วันที่ 24 มีนาคม
พูดได้เต็มปากว่า ศิธา เป็นแคนดิเดตไทยสร้างไทยที่จะลงผู้ว่าฯ กทม.
ก่อนหน้านี้เป็นการพูดคุยกันประชุมกัน ตกลงกัน ดูแล้วว่าเราน่าจะส่งคนที่เข้าใจนโยบายของพรรค และสามารถนำเสนอนโยบายของพรรคออกไปได้ ในการเป็นผู้อาสามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. แล้วก็มาลงสมัครฯ ในนามพรรค
ปรากฏว่า ข่าวก็รั่วออกไป สื่อก็มาถาม พอถามแล้ว ผมก็พูดไปตามข้อเท็จจริงว่าอาจจะถูกครึ่งหนึ่ง คือตอนนี้ได้มีการพูดคุยกันแล้ว และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ที่จะลงในอนาคต ทุกคนต่างชี้มาทางเดียวกันที่ผม ว่าอยากให้ลง เพราะเราเป็นคนให้คำปรึกษา และรู้เรื่อง กทม. ดี เป็น ส.ส. กทม. มาตั้งแต่ปี 2544 คุณหญิงสุดารัตน์ก็บอกว่าเห็นควร แต่จะรอมติ
ปรากฏพอข่าวออกไปจึงบอกว่าถูกครึ่งหนึ่ง จริงๆ คือทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้ว แต่ยังไม่เป็นทางการเท่านั้นเอง
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเยอะว่าคุณหญิงหน่อยไปทาบทามคนนอกพรรคเยอะ แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ลงตัว เรื่องนี้พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ได้ครับ ต้องเท้าความว่าตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย คุณหญิงหน่อยมองว่าอยากทำพรรคการเมืองแบบที่ตัวเองต้องการ คือเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และคุณหญิงมีจุดยืนต่อต้านเผด็จการมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภา 2535 และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็แสดงจุดยืนที่ชัดเจนมาตลอด 30 ปี ก็บอกว่าอยากจะทำพรรคที่เป็นดีเอ็นเอที่นำเสนอนโยบายสอดคล้องกัน
ผมก็เห็นพ้องต้องกันด้วย ผมเป็นนักการเมือง ลงพื้นที่ตั้งแต่ปี 2543 เป็น ส.ส. ปี 2544 แล้วถูกรัฐประหารปี 2549 ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี อยู่ในบ้านเลขที่ 111 ออกจากการเมืองไปเพราะมีความรู้สึกว่าการเมืองไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แล้วก็ไปทำงานอย่างอื่นดีกว่าถ้าจะต่อสู้กันแล้วแบ่งเป็นฝ่ายขนาดนี้ เรามีเพื่อนฝูงเยอะแยะ เราอยากที่จะใช้ชีวิตสบายๆ มากกว่าที่จะต้องมาดิ้นรนทางการเมือง
พอถูกชวนกลับมาทำ ผมก็บอกว่า ผมขอช่วยเบื้องหลัง แต่อย่างไรก็ช่วยมาตลอด 20 ปี อยู่ในแวดวง ช่วยตั้งแต่ไทยรักไทย มาเป็นพลังประชาชน มาเป็นเพื่อไทย ตอนนี้ก็มาตั้งพรรค
ระหว่างทางเราเป็นพี่เลี้ยงให้คนรุ่นใหม่ที่เข้ามา เป็นวิทยากรให้ ก็สนิทสนมกัน พอถึงเวลากำลังจะรับสมัครผู้ว่าฯ กทม. แล้ว อาจจะหาคนนอกไม่ทัน ทุกคนก็ชี้มาที่เรา
เราบอกตอนแรกจะไม่ลง แต่พอทำกันมาแล้วเหมือนลงเรือลำเดียวกัน จะเอาการตัดสินใจตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ ในเมื่อทุกคนไว้วางใจอยากให้มานำทัพก็ต้องทำให้ได้ ต้องแสดงให้เห็นว่าทำได้
ดีเอ็นเอของไทยสร้างไทย จะต่างจากเพื่อไทยหรือไม่
เวลาเราอยู่ในพรรคใหญ่ คนหมู่มาก จะมีความคิดเห็นที่ตรงกันและแตกต่างกัน เอาเป็นว่าแม้แต่พรรคที่ถูกเรียกว่าฝั่งประชาธิปไตย คือพรรคที่อยู่ในฝ่ายค้านตอนนี้ จริงๆ ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด แต่จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบในอุดมคติ หรือกล้อมแกล้มพยายามทำให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีดีเอ็นเอของฝั่งปฏิวัติรัฐประหารหรือฝั่งเผด็จการอยู่
ฉะนั้น ส่วนของเรา ดีเอ็นเอส่วนประชาธิปไตยก็ส่วนหนึ่ง แต่ฝั่งนี้ แม้แต่พรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล อยู่ฝั่งประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ก็มีหลายเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน
แล้วต้องยอมรับว่า ตอนที่อยู่เพื่อไทย บางครั้งเราเห็นอย่างหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งก็เห็นอย่างหนึ่ง ไม่ตรงกัน พอทำไปทำมาก็ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกันเยอะ แต่ก็ไม่อยากจะลงในรายละเอียด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าคนนั้นถูกคนนี้ผิด พอไม่ตรงกันแบบนี้ ออกมาทำพรรคเองดีกว่า
ในมุมการส่งหรือไม่ส่งผู้ว่าฯ กทม. มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจที่ออกจากพรรคเพื่อไทยในเวลานั้น เราอยู่กับการเมืองใน กทม. เรารู้ว่าคน กทม. คิดอย่างไร
เราคัดค้านมาตลอดตั้งแต่สมัยก่อน ไทยรักไทยในอดีต เคยส่งผู้ว่าฯ กทม. ท่านหนึ่ง แล้วก็ทำแบบนี้ คือส่งผู้สมัครฯ แต่บอกว่าไม่ส่ง ตอนแรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่พอลงสมัครรับเลือกตั้งเกิดกระแสมีคำว่า อีแอบ
แล้วเราเอาคำว่าอีแอบมาพูดในพรรคตลอดว่า พรรคใหญ่จะไม่ส่งก็แปลกๆ จะทำงานเพื่อประเทศชาติแต่ไม่สนใจ กทม. ไม่ได้ กทม. เป็นเมืองหลวงโชว์ทุกอย่าง โชว์เขตเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วม หรือไม่ส่งคนที่จะเป็นตัวแทนในการอาสาทำงานเพื่อประชาชนไม่ได้ ถ้ามีเหตุผลที่จะไม่ส่งก็คือไม่ส่ง แต่ถ้าจะส่งก็คือส่ง ขอให้ตรงไปตรงมา เปิดเผยกับพี่น้องประชาชน
การตัดสินใจลงสมัครฯ เราต้องการนำเสนอให้เห็นนโยบายพรรค ทีม ส.ก. ก็คาดหวังว่าพรรคจะส่งคนมาเป็นแกนนำ เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ
การตัดสินใจนี้ เราต้องการแสดงให้น้องๆ เห็นว่า เราต้องร่วมกันทำงานแบบนี้ ตั้งแต่ในระดับพรรคไปถึงระดับประเทศชาติ
ในนามแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคไทยสร้างไทย นโยบายที่จะนำเสนอ หรือนโยบายจุดเด่นของพรรคคืออะไร
ปัญหาทั้งหมดของ กทม. เหมือนภูเขาน้ำแข็ง เราต้องแก้ฐานราก กทม. แทบจะไม่เคยทำ ดังนั้น แคมเปญเรา การที่เราส่งตัวแทนเป็นผู้ว่าฯ กทม. เราจะทำในสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม. ไม่เคยทำ เช่น สตรีทฟู้ดของไทยที่ดังไปทั่วโลก ขายอาหารในห้องแถว รวมถึงหาบเร่แผงลอย ต้องให้เขาทำมาหากินได้ โดยไม่กีดขวางทางจราจร ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครไปรีดไถเบียดเบียน
ภาพรวม แก้ปัญหา กทม. ต้องพลิกฟื้นคุณภาพชีวิต กระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ กทม. ไม่เคยทำ เราจะเข้าไปทำ เชื่อว่าจะทำให้ กทม. เป็นมหานครที่ติดอันดับโลกได้
เปิดตัวแคนดิเดตช้า เวลาหาเสียงน้อย กังวลหรือไม่
มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียคือเริ่มช้า แต่ผมเป็น ส.ส. กทม. มาตั้งแต่ปี 2544 ลงพื้นที่ตั้งแต่ปี 2543 ลงพื้นที่ กทม. มา 22 ปี เชื่อว่า แคนดิเดตท่านอื่นไม่น่าจะลงมานานเท่าผม พื้นที่ที่ผมลงคือเขตคลองเตย ยังประสานไปมาหาสู่กับชุมชน อาจไม่ได้คลุกคลีมากเท่าเมื่อก่อน ไม่ได้ลงเองก็ทำงานอยู่เบื้องหลังการเมืองใน กทม. มาตลอด ไม่ได้ไปทำจังหวัดอื่น เชื่อว่าระยะเวลาที่เหลือมีเพียงพอที่จะนำเสนอนโยบายที่สะสมมา 20 กว่าปี
ส่วนจะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยนโยบายที่นำเสนอก็ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ถ้าใครจะนำไปทำก็เป็นประโยชน์แล้ว
หลังห่างหายจากสนามเลือกตั้ง กทม. ไปนาน ก็มีกลุ่มคนรุ่นใหม่หลายแสนคน จะมัดใจกลุ่มนี้อย่างไร จะเอาอะไรไปขายกลุ่มนี้
จะขายคนรุ่นใหม่หรือขายคนรุ่นเก่า ไม่ได้แยกคนรุ่นเก่าต้องขายคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ต้องขายคนรุ่นใหม่ แต่อยู่ที่แนวความคิดและวิธีการนำเสนอ เชื่อว่าทุกคนเชื่อในความจริงใจในการนำเสนอข้อมูลมากกว่าการปรุงแต่งข้อมูล
ส่วนจะคอนเน็กต์กับคนรุ่นใหม่ได้ไหม ผมมีลูกช้า มีลูก 4 คน คนโตอายุ 13 ปี คนเล็กอายุ 3 ขวบ มีช่องว่างค่อนข้างห่าง กลัวคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้เราก็เห็นผู้ใหญ่กับเด็กก็คุยกันแทบจะไม่รู้เรื่อง ผมไปเรียนหลายหลักสูตรกับเด็กๆ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ใน Gen Y รู้จักกันก็ไม่มีช่องว่างระหว่างวัย
ผมเรียนทั้งหลักสูตรผู้ใหญ่และเด็ก ปรากฏหลักสูตรที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือหลักสูตรที่ไปเรียนกับเด็ก เรื่องนี้ผมทราบ ผมนำมาบรรจุด้วย ฉะนั้น เรื่องเทคโนโลยีเรามีคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเยอะแยะ
เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะเข้าใจว่าการจะบริหารจะต้องประกอบกันทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
คุณหญิงสุดารัตน์บอกผมว่า เรามาเป็นนั่งร้านสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดให้ลูกหลาน เมื่อเขาสามารถเข้ามาร่วมบริหารประเทศได้อย่างแข็งแกร่งก็ถอดนั่งร้านออกไป ปล่อยให้คนรุ่นใหม่บริหารต่อไป แต่ในระหว่าง Transition ที่คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจ เราเป็นตัวเชื่อม ฉะนั้น ผมจะทำหน้าที่นี้สืบทอดดีเอ็นเอนี้ จากระดับประเทศมาระดับ กทม. ภายใต้คอนเซปต์ ไทยสร้างไทย ที่คุณหญิงสุดารัตน์ให้มา เราจะส่งมอบประเทศไทยที่ดีที่สุดให้กับลูกหลาน ผมก็จะทำหน้าที่ส่งมอบ กทม. ที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานต่อไปเหมือนกัน
มองการเมืองสนามใหญ่ จุดยืนไทยสร้างไทยจะอยู่ตรงไหน
ถ้านับจากจำนวน ส.ส. ตัวแปรในการนับคะแนนค่อนข้างจะมีผล กติกาตอนนี้เป็นบัตร 2 ใบ ส.ส. เขต จาก 350 เขต จะเป็น 400 เขต ปาร์ตี้ลิสต์จาก 150 เหลือ 100 คน ถ้าถามว่าน่าจะอยู่ตรงไหน ก็เป็นพรรคสร้างใหม่
เมื่อก่อนมีแค่ยืนอยู่ 2 ขั้ว ก็มีแค่ 2 พรรคใหญ่ แต่ปัจจุบันแตกย่อยออกไป ฉะนั้น อย่างไรคะแนนก็กระจายอยู่แล้ว มองว่าในเมื่อเราเป็นพรรคตั้งใหม่ มีพรรคเกิดก่อนเยอะแยะ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้นึกฝันว่าอยู่ๆ เราจะพรวดพราดไปใหญ่กว่าเขา แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่เรานำเสนอ แรกๆ อาจจะเป็น Niche Market ซึ่งคนที่เข้าใจอาจจะน้อย จะทำอะไรสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดให้ลูกหลาน จะเป็นนั่งร้าน จะทำอะไร
แต่จริงๆ จุดขายของเราคือเอาคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่มาทำงานผสมผสานกันเพื่อส่งมอบประเทศให้กับเขา ผมเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ เราจะได้ ส.ส. เพียงพอที่จะนำเสนอนโยบายต่างๆ ที่เรานำเสนอไปได้ แล้วก็คนอาจจะมองว่าเป็นพรรคสร้างใหม่ แต่โพลทุกสำนัก โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งจำนวน ส.ส. เยอะที่สุดในประเทศไทย รวมถึง กทม. ซึ่งประธานพรรคคือคุณหญิงสุดารัตน์ ก็มีคะแนนเสียงที่ดีใน กทม. เป็น ส.ส. กทม. มา 30 ปีมาแล้ว โพลที่ออกมาในอีสานคุณหญิงสุดารัตน์มาเป็นที่ 1 มานาน ตามข้อเท็จจริงคือเมื่อก่อนเพื่อไทยเป็นหลักของอีสานที่ได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด ตอนแคนดิเดตเพื่อไทยยังไม่ชัดเจน คะแนนก็มาออกตรงนี้ แน่นอนเมื่อเขาประกาศออกมาแล้วก็คงมีคะแนนส่วนหนึ่งกลับไปเพื่อไทย
แต่เราจะพยายามรักษาคะแนนในส่วนของเราให้ดีที่สุด ฉะนั้น จะไปลงทุกพื้นที่ไปด้วยกัน ในช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แน่นอนทุกคนจะมาช่วยใน กทม. กันเยอะหน่อย ขณะเดียวกันเราก็จะไม่ทิ้งต่างจังหวัด ก็จะไปลง ฉะนั้น เชื่อว่าจะได้ ส.ส. จำนวนหนึ่ง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจำนวนเท่าไร