เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เติบโตในระดับ Low to Mid-Teen YoY โดยได้แรงหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น BJC คาดว่ารายได้จากกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ (MSC: Big C) จะเติบโตในระดับ Low to Mid-Teen YoY อันเป็นผลมาจากยอดขายสาขา (SSS) ที่เติบโตและการขยายสาขาใน 1Q66TD SSS เติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ (หรือเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลางหากไม่รวมยอดขายกลุ่ม B2B)
ในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่ม 3 สาขา (2 สาขาในประเทศไทย และ 1 สาขาในกัมพูชา), Food Place 5 สาขา, Food Service (ค้าส่ง) 7-8 สาขา, Big C Mini 200 สาขา, ร้านขายยาเพรียว 12 สาขา และร้านโดนใจ 3,000 สาขา พร้อมตั้งเป้าปรับปรุงใหญ่ที่สาขา 15-17 สาขา และปรับปรุงร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมด (ที่ยังไม่ได้ปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้)
รายได้ค่าเช่า BJC ตั้งเป้าเติบโตในระดับ Low Teen YoY โดยได้แรงหนุนจากอัตราการเช่าพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นสู่ 90% และส่วนลดค่าเช่าที่ลดลง
สำหรับยอดขายกลุ่ม Non-MSC คาดว่ายอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ (PSC) จะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลางถึงสูง YoY จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการปรับราคาเพิ่มขึ้นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว
ขณะที่ยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค (CSC) คาดว่าจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับสูงถึง Low Teen YoY โดยมียอดขายที่ดีขึ้นจากธุรกิจอาหาร ธุรกิจอุปโภค ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจโลจิสติกส์ ส่วนยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค (H&TSC) คาดว่าจะเติบโตในระดับ High Teen YoY จากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเทคนิคที่ฟื้นตัวดีขึ้น
ส่วนมาร์จิ้นปี 2566 BJC ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 75-100bps โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจหลักทุกกลุ่ม ยกเว้นกลุ่ม H&TSC อัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่ม MSC คาดว่าจะเติบโต YoY อย่างต่อเนื่อง โดยเกิดจากการลดยอดขายกลุ่ม B2B ที่ให้มาร์จิ้นต่ำ การเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand ที่ให้มาร์จิ้นสูงจาก 14.6% ของยอดขายในปี 2565 สู่ระดับเกือบ 16% ในปี 2566 และการจัดการกิจกรรมส่งเสริมการขายและโลจิสติกส์ได้ดีขึ้น
อัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่ม PSC และกลุ่ม CSC มีแนวโน้มฟื้นตัว YoY โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง การปรับราคาเพิ่มขึ้น และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใน 2H23 ในกลุ่ม PSC และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง (เช่น น้ำมันปาล์ม) ในธุรกิจอาหารและสัดส่วนการขายที่ดีขึ้นในธุรกิจโลจิสติกส์ในกลุ่ม CSC ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่ม H&TSC มีแนวโน้มที่จะลดลงจากการมียอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเทคนิคที่ให้มาร์จิ้นต่ำเพิ่มมากขึ้น
ด้านอัตราภาษี เนื่องจากผลขาดทุนทางภาษียกมาจะค่อยๆ ลดลง BJC จึงคาดว่าอัตราภาษีที่แท้จริงของบริษัทจะอยู่ในช่วง Low to Mid-Teen ในปี 2566-2567 (เทียบกับ 7% ในปี 2565) และ Mid to High-Teen ในปี 2568
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BJC ปรับเพิ่มขึ้น 2.65%MoM สู่ระดับ 38.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 5.52%MoM อยู่ที่ระดับ 1,573.07 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 10% เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่ดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้น รายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ 1Q66 คาดว่ากำไรจะเติบโต YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ BJC ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ปรับใหม่เป็น 44 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 42 บาทต่อหุ้น)
ส่วนปัจจัยความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น