เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว โดยเฉพาะผิวบอบบางแพ้ง่าย หลายคนน่าจะนึกถึงแบรนด์ BIODERMA ที่มีไอเท็มเด็ดอย่าง Sensibio H2O ไมเซลาวอเตอร์แบรนด์แรกของโลก และเป็นตัว Best Seller ทั่วโลก กลายเป็นตำนานคลีนซิ่งวอเตอร์ไปแล้ว ซึ่งแบรนด์นี้เป็นแบรนด์เวชสำอางจากประเทศฝรั่งเศส ที่คิดค้นคลีนซิ่งไมเซลาขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1995 จากสถาบันวิจัยไบโอเดอร์มา ก่อตั้งโดย ฌอง โนเอล โทเรล แรงบันดาลใจในการคิดค้นคลีนซิ่งไมเซลาได้มาจากผิว อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เข้าใจธรรมชาติของผิวภายใต้ศาสตร์แห่งชีวนิเวศวิทยาแห่งผิว (Ecobiology) นับจากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นก้าวการเดินทางที่ยาวไกลถึง 25 ปี และผลิตภัณฑ์ Sensibio H2O ก็ได้กลายเป็นไอเท็มลูกรักของผู้หญิงทั่วโลกรวมทั้งคนไทย อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จที่แบรนด์ BIODERMA สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้หญิงทั้งโลก รวมทั้งได้รับการยอมรับในวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง

THE STANDARD มีโอกาสได้พูดคุยกับ ภกญ.วัลภา รัตนชัยพิพัฒน์ Managing Director บริษัท นาโอส (ประเทศไทย)​ จำกัด ที่นำเข้าแบรนด์ BIODERMA สู่ประเทศไทย เพื่อไขความลับและที่มาของความสำเร็จตลอด 25 ปี ของ Sensibio H2O คลีนซิ่งวอเตอร์ 

ภกญ.วัลภา รัตนชัยพิพัฒน์

ผลตอบรับของแบรนด์ BIODERMA ในเมืองไทย 

ภกญ.วัลภา: ผลตอบรับดีมากเลยค่ะ เพราะว่าวัดอัตราการเติบโตสะสมต่อเนื่อง 3-4 ปีแล้ว คิดเป็น 60% เลยค่ะ แล้วแบรนด์ BIODERMA เองก็ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้จำนวนมาก และในกลุ่มผู้ใช้ที่เป็น Professional เช่น บุคลากรทางการแพทย์ คุณหมอ พยาบาล หรือเภสัชกร รวมทั้งเหล่าบิวตี้กูรูทั้งหลาย เช่น เมกอัพอาร์ทิสต์ บิวตี้บล็อกเกอร์ ก็ให้การยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ BIODERMA โดยเฉพาะ Sensibio H2O คลีนซิ่งวอเตอร์สำหรับผิวแพ้ง่าย

อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ครองใจผู้บริโภค

ภกญ.วัลภา: หลักๆ คือเรื่องของความแตกต่างค่ะ อย่างแบรนด์ BIODERMA เรามีรากฐานที่แข็งแรงมาก โดยเริ่มตั้งแต่การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ถึงแม้จะจัดอยู่ในกลุ่มสกินแคร์ แต่เราพัฒนาโดยเน้นไปที่ความเข้าใจในธรรมชาติของผิวมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งเรียกว่าศาสตร์แห่งชีวนิเวศวิทยา (Ecobiology) มันเกิดจากการที่เรานำเอา Ecology กับ Biology มาสมานกัน ซึ่งการคิดค้นแบบนี้เกิดจากเจ้าของแบรนด์ ซึ่งก็คือ ฌอง โนเอล โทเรล เขาเป็นเภสัชกรด้านชีววิทยาชาวฝรั่งเศส เพราะฉะนั้น ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเขาสูงมาก แต่พอมาทำแบรนด์สกินแคร์ เขาก็เน้นไปที่ผิวโดยตรง ด้วยปณิธาน ‘Respect Your Skin’ ทำให้เขามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้ผิวของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มีผิวที่สวยงามและสุขภาพแข็งแรง ด้วยส่วนประกอบที่คล้ายคลึงกับเซลล์ผิว จึงเป็นมิตร อ่อนโยนต่อผิว ซึ่งเขาต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดี มีความยั่งยืนด้วย ดังนั้น ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ BIODERMA ก็จะมีเทคโนโลยีและสิทธิบัตรที่ต้องบอกเลยว่า เป็นบริษัทผลิตสกินแคร์ที่มีสิทธิบัตรของตัวเองเกิน 80 สิทธิบัตรแล้ว ซึ่งการจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เหตุผลที่ผลิตภัณฑ์ได้รับความเชื่อถือจากบุคลากรในวงการแพทย์
ภกญ.วัลภา: ประสิทธิภาพของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์มีส่วนสำคัญมาก โดยเฉพาะในบุคลากรด้านการแพทย์ เราจะไม่ใช้คำว่า ดีกว่าหรือมากกว่า เพราะอันนั้นคือการเคลม แต่จะมีการศึกษาในผู้ป่วยจริงๆ ที่มีปัญหาผิวแต่ละประเภทโดยตรง เช่น การเป็นผื่น ผด หรือสิว ซึ่งในด้านการดูแลรักษาผิวมันไม่จำเป็นต้องใช้ยาอย่างเดียว เพราะผลิตภัณฑ์ BIODERMA ของเราที่ถูกนำไปใช้ในการทำความสะอาดผิว ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาผิวสามารถลดการใช้ยาลงด้วยการช่วยให้ปราการผิวแข็งแรงขึ้น เนื่องจากการใช้ยาโดยส่วนมากมักจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา ด้วยความที่ BIODERMA เป็นแบรนด์เวชสำอาง สิ่งที่เราจะทำได้คือ การสื่อสารในเชิงของข้อมูล ให้ความรู้ เราต้องสื่อสารออกไปถึงประโยชน์และเหตุผลว่า ทำไมแม้แต่ผิวบอบบางแพ้ง่ายถึงใช้ได้ เราจะมีทีมที่เข้าไปให้ข้อมูลร่วมกับสมาคมทางการแพทย์ และงานประชุมทางวิชาการต่างๆ ก็จะมีคุณหมอในแต่ละสาขามานำเสนอแบ่งปันข้อมูลกัน ในส่วนของแบรนด์ BIODERMA คุณหมอจะนำเอาประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาข้อมูลการใช้งานกับคนไข้ไทยในแต่ละสถาบัน เพื่อประกอบการเรียนรู้ เพราะฉะนั้น นี่สามารถเป็นข้อพิสูจน์ได้เลยว่า ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถใช้ในคนไข้ได้อย่างปลอดภัย ทำให้แบรนด์ BIODERMA ของเรามีความน่าเชื่อถือ แม้แต่ในวงการแพทย์และคลินิกต่างๆ 

ประสบการณ์จริงของผู้ใช้ นำไปสู่ความสำเร็จของแบรนด์จริงหรือ

ภกญ.วัลภา: อะไรก็ไม่เท่ากับคำว่า ‘ประสบการณ์จริง’ แบรนด์ BIODERMA เติบโตมาด้วยการแนะนำบอกต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้ใช้ที่มีประสบการณ์จริง พูดถึง BIODERMA หลายคนจะรู้จักเมกอัพรีมูฟเวอร์หรือคลีนซิ่งวอเตอร์อย่าง Sensibio H2O คนที่เคยใช้แบรนด์ของเราเขารู้ดีว่า ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ขณะที่ตลาดของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางในบ้านเราทุกวันนี้ มีผลิตภัณฑ์แนวไมเซลาวอเตอร์ออกมาเยอะมาก เราเคยทำรีเสิร์ชมานะคะ พบว่า ผู้บริโภคของเราที่เคยใช้ Sensibio H2O แม้จะเคยแว้บไปใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์อื่นๆ บ้าง แต่สุดท้ายก็จะกลับมาตายรังที่ผลิตภัณฑ์ของ BIODERMA เหมือนเดิม นี่คือประสบการณ์ใช้จริงของผู้บริโภค โดยที่เราไม่จำเป็นต้องบอกว่าแตกต่างอย่างไร เพราะผู้บริโภคคือคนที่ตัดสินใจเอง 

ทำไม Sensibio H2O ไมเซลาวอเตอร์จึงเป็นฮีโร่ไอเท็มของ BIODERMA 

ภกญ.วัลภา: หนึ่งในสิ่งสำคัญคือ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ อย่างที่บอกว่า เราใช้หลักของ Ecobiology ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์​ และแบรนด์ BIODERMA ของเราเป็นแบรนด์แรกของโลกนะคะที่ใช้เทคโนโลยีไมเซลา โครงสร้างและโมเลกุลของผลิตภัณฑ์ใน Sensibio H2O เป็นโครงสร้างที่จำลองเลียนแบบเซลล์ผิวของมนุษย์เลย เพราะฉะนั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับผิว เมื่อนำมาใช้กับผิวจึงเป็นมิตรกับผิว ไม่ทำลายผิวอยู่แล้ว เพราะโครงสร้างและโมเลกุลต่างๆ มีการจัดเรียงโครงสร้างเสมือนของเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ทำให้เวลาใช้ Sensibio H2O ไมเซลาวอเตอร์ เกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติก็ยังคงอยู่ ไม่ถูกทำลายไป ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่ว่า ทำไมแม้แต่คนที่มีผิวแพ้ง่ายถึงสามารถใช้ Sensibio H2O ได้อย่างสบายใจและปลอดภัยต่อผิวพรรณ 

BIODERMA มองคู่แข่งอย่างไรในยุคที่แบรนด์ไหนๆ ก็ผลิตไมเซลาวอเตอร์

ภกญ.วัลภา: สิ่งที่เป็นจุดแข็งของเราคือ แบรนด์ BIODERMA ได้รับความเชื่อใจจากผู้ใช้งานอย่างมาก ของเราเป็นไมเซลาวอเตอร์ที่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่คอนเซปต์และการวิจัยพัฒนาโดยเภสัชกรที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี และเราสามารถเคลมได้ว่า เป็นไบโอมิเมติกไมเซลาวอเตอร์ที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะองค์ประกอบหลักของไมเซลาวอเตอร์​ อย่างแรกคือน้ำ และน้ำที่เรานำมาเป็นส่วนผสมหลัก 90% เราใช้น้ำที่มีคุณสมบัติความบริสุทธิ์ขั้นสูง ในระดับที่ใช้ผลิตยาฉีด แต่เวลาที่เรานำเสนอโปรโมต เราใช้เพียงคำว่า Purify Water แต่เกรดของน้ำที่เราใช้มีความบริสุทธิ์มาก ปราศจากแบคทีเรียและสิ่งปนเปื้อนที่อาจระคายเคืองต่อผิว นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้ เพราะเราใช้น้ำที่บริสุทธิ์มากนั่นเอง ซึ่งเหล่านี้ถูกจดเป็นสิทธิบัตรหมด นอกจากน้ำที่มีความบริสุทธิ์สูงแล้ว เรายังใส่โมเลกุลที่เราเสริมเข้าไป เพื่อช่วยให้ผิวไม่ระคายเคือง ที่สำคัญยังมี pH5.5 ซึ่งเหมาะกับธรรมชาติแห่งผิวอย่างแท้จริง 

BIODERMA มองปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 อย่างไร

ภกญ.วัลภา: ปัญหาฝุ่นละอองในบ้านเราไม่ได้ถูกพูดถึงมาก จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา คนทั่วไปเริ่มรู้สึกว่า ปัญหาฝุ่นละอองกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องรับมือและแก้ปัญหา มันหมายความว่า เราจำเป็นต้องอยู่กับปัญหา ว่าแต่จะทำอย่างไรให้สามารถอยู่ได้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในนิยามของแบรนด์​ BIODERMA ที่ทำอย่างไรก็ได้ให้เรายังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่สิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยด้านลบ ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ต้องบอกว่า เราก็หนีไม่ได้ อย่างทุกวันนี้เราออกจากบ้าน เราสวมใส่มาสก์เพื่อปกป้องตัวเองจากฝุ่นละอองและมลภาวะ แต่ผิวเราก็ยังต้องเจออยู่ดี แต่ผลิตภัณฑ์ของเราก็ตอบโจทย์ปัญหานี้ด้วย ที่เรากล้าเคลมก็คือ จากการศึกษาไมเซลาวอเตอร์ของ BIODERMA Sensibio H2O เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก แม้สิ่งสกปรกที่มีโมเลกุลเล็กกว่า PM2.5 อีก เพราะผลิตภัณฑ์ของเรามีข้อมูลยืนยันว่า สามารถทำความสะอาดสิ่งตกค้างขนาดเล็กเพียง 1 ไมครอน ได้สูงถึง 99% 

ทิศทางการเติบโตของ BIODERMA ในตลาดไทย

ภกญ.วัลภา: ตั้งแต่ที่ BIODERMA เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเมื่อ 3 ปีก่อน อัตราเฉลี่ยสะสมที่เราเติบโตคือ 60% ช่องทางที่เราเติบโตสูงมากคือ ช่องทาง E-Commerce ที่สามารถเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบัน และอีกช่องทางหนึ่งคือ Health & Beauty ที่เมืองไทยตอนนี้ถือเป็นช่องทางหลักของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์เลย การเติบโตแต่ละปีเกิน 30% ทุกปี ส่วนของ BIODERMA หากวัดตั้งแต่ตอนเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยครั้งแรก เราเห็นได้เลยว่า Before and After เราเน้นเรื่องการปรับราคา เพราะตัวเราเองก็เป็นคนไทย เลยคิดว่า ทำอย่างไรให้คนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่ได้มีราคาแพงจนเกินไป เราก็พยายามปรับราคาลงจากเดิม และมีโปรโมชันเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องบินไปถึงฝรั่งเศสก็สามารถใช้ BIODERMA ในราคาที่สมเหตุสมผลได้ 

ปัจจุบันเรามีแพลตฟอร์มที่เป็น E-Commerce ของเราเองภายใต้ชื่อแบรนด์ BIODERMA.co.th และเราจับมือกับ Official Store อยู่ทั้งใน Lazada, Shopee และร้านค้าปลีกต่างๆ ที่เป็นช่องทางจัดจำหน่าย แต่เราอยากแนะนำให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านค้าหลักของเรา เพื่อป้องกันสินค้าลอกเลียนแบบที่ปัจจุบันมีเยอะมากในท้องตลาด แต่เราก็มีวิธีรับมือกับพวกสินค้าปลอมคือ ให้สังเกตฉลาก ของจริงกับของปลอมหน้าตาไม่เหมือนกันนะ แต่เอาจริงๆ ใครจะมาจำฉลากว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม ดังนั้น เราก็มีสติกเกอร์เป็น QR Code ที่เปรียบเสมือนบัตรประชาชนของผลิตภัณฑ์ BIODERMA แต่ละชิ้นของเรา หนึ่งขวดจะมีหนึ่ง QR Code ซึ่งถ้าสแกนปุ๊บ จะนำไปสู่แลนดิ้งเพจ ซึ่งจะปรากฏเครื่องหมายถูกที่แปลว่าของแท้ แต่ถ้าสมมติมีคนหัวใสมาปลอม QR Code เรา แล้วเขาสแกนทับไป มันจะโชว์เครื่องหมายผิด จะเป็นการแสดงว่า คุณไม่ใช่คนแรกที่เปิดผลิตภัณฑ์นั้น และผลิตภัณฑ์ที่คุณถืออยู่อาจจะเป็นของปลอม เรื่องของ QR Code นอกจากจะใช้เช็กข้อมูลผลิตภัณฑ์และป้องกันของปลอมแล้ว เรายังใช้ QR Code เป็นการคืนกำไรให้ลูกค้า โดยเขาสามารถสะสมพอยต์จากทุก QR Code ที่เขาเคยสแกน เพื่อแลกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ BIODERMA ได้ด้วย

อะไรคือเป้าหมายของ BIODERMA ในปี 2020 

ภกญ.วัลภา: ปีนี้แบรนด์ BIODERMA ของเราก็ยังเน้นการทำการตลาดและผลักดันแบรนด์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์คลีนซิ่งสูตรไมเซลาวอเตอร์ที่เป็นฮีโร่ของเราเลย นอกจากเราจะเน้นกลุ่มผิวบอบบางแพ้ง่ายแล้ว เราจะเน้นไปที่กลุ่มคนผิวมันและผิวผสมด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศไทยเลย เพราะ 30% คนไทยส่วนใหญ่มีลักษณะผิวเช่นนี้ และตลาดนี้แม้จะมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้เยอะ แต่ว่าอาจจะยังไม่ตรงกับความต้องการ ดังนั้น แบรนด์ BIODERMA จึงอยากเข้ามาช่วยตั้งแต่วิธีการทำความสะอาด บำรุง เพื่อลดผิวมัน ผิวอุดตัน ลดปัญหาสิว และโฟกัสกลุ่มอายุที่น้อยลง เพราะว่าปัญหาผิวมันมักจะเจอในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน และเพิ่มกิจกรรมด้านออนไลน์​ที่เป็นช่องทางการสื่อสารออนไลน์ต่างๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งการจัดโปรโมชันเป็นระยะ กิจกรรมที่เกี่ยวกับ Healthcare Professional ก็ยังดำเนินต่อไป ซึ่งความท้าทายของเราคือ ทำอย่างไรให้คนรู้จักแบรนด์ BIODERMA กว้างขึ้น และมีประสบการณ์ใช้งานด้วยตัวเองมากขึ้น และจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีความเข้าใจในหลักการดูแลผิวของตัวเองอย่างถูกต้อง อีกส่วนหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้สามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้ แต่ทุกวันนี้ก็คิดว่า BIODERMA ค่อนข้างครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี 

ข้อมูลเพิ่มเติม: www.bioderma.co.th

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล