หลังจาก ChatGPT แชตบอตปัญญาประดิษฐ์ของ OpenAI ที่มี Microsoft หนุนหลังอยู่ สร้างสถิติเป็นแอปพลิเคชันผู้บริโภคที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมียอดผู้ใช้งานทั่วโลกทะลุ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน สมรภูมิการแข่งขันในสังเวียน AI Chatbot ในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีก็ดุเดือดขึ้นทันควัน
โดยในฝั่งอเมริกา Alphabet บริษัทแม่ของเสิร์ชเอนจินชื่อดังอย่าง Google ได้ประกาศเปิดตัว Bard เทคโนโลยี AI Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล LaMDA ของตัวเองออกมา ขณะที่อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Salesforce ก็เพิ่งจะประกาศแผนพัฒนา AI Chatbot ที่มีความคล้ายคลึงกับ ChatGPT ไปเช่นกัน
ข้ามมาดูฝั่งประเทศจีนที่กำลังขับเคี่ยวทางด้านเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น ผ่านแรงกดดันด้านความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ก็ไม่น้อยหน้า เริ่มจาก Baidu เสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่ของจีน ที่เตรียมเปิดตัว AI Chatbot ของตัวเองภายใต้ชื่อ ‘ERNIE Bot’ ในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อมาท้าชนกับเทคโนโลยีของฝั่งตะวันตกโดยตรง ซึ่งข่าวที่ออกมาส่งผลให้ราคาหุ้นของ Baidu พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 11 เดือนทันที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- จีนท้าประลองศึกแชตบอต! Baidu เตรียมเปิดตัวแชตบอตสไตล์เดียวกับ ChatGPT ภายในเดือน มี.ค. นี้
- รู้จัก ‘ChatGPT’ แชตบอตโด่งดังสุดอัจฉริยะ ที่กำลังเขย่าโลก ‘AI’ และอาจจุดชนวน Tech Disruption อีกครั้ง
- โลกสะเทือนหรือไม่? การมาของ ‘ChatGPT’ จะ Disrupt วงการใดบ้าง
- ChatGPT ปลุกยักษ์! Google ตั้งทีมพิเศษเร่งพัฒนาเทคโนโลยี สู้ศึกกับ OpenAI หวังชิงเค้กคืน
หลังการแถลงของ Baidu ไม่นาน ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนอย่าง Alibaba ก็ออกมาเปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างทำการทดสอบเทคโนโลยีที่มีความคล้ายคลึงกับ ChatGPT เช่นกัน ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อวันพฤหัสบดี (9 กุมภาพันธ์) บวกขึ้นถึง 3.96%
ล่าสุด Tencent อีกหนึ่งบริษัทเทครายใหญ่ของแดนมังกร ได้ออกมายืนยันข่าวการวิจัยและพัฒนา AI Chatbot ของตัวเองว่าเป็นเรื่องจริง ขณะที่ JD.com แพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของจีนและ NetEase บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเกมของจีน ก็ออกมาระบุตรงกันว่า บริษัทมีแผนจะนำเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกับ ChatGPT มาเสริมศักยภาพในการให้บริการของตัวเอง
นอกจากนี้ ยังมีข่าวหลุดออกมาอีกว่า ฝ่ายวิจัยเอไอ (AI Lab) ของ ByteDance ผู้พัฒนาแอป TikTok ก็กำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับบริการด้านโลกเสมือนหรือ Virtual Reality (VR) ของตัวเอง แต่ในภายหลังบริษัทได้ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่เกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าแรงสั่นสะเทือนของ ChatGPT ที่ผนวกกับแรงกดดันจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จะทำให้กลุ่มบริษัทเทคจีนต้องเร่งสปีดตัวเองเพื่อไม่ให้ตกขบวนการแข่งขันทางเทคโนโลยีของโลก
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากหลายสำนักก็ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับกระแสการเร่งพัฒนา AI Chatbot ของบรรดาบิ๊กเทคของจีนว่า มันจะนำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจได้จริงหรือไม่ พร้อมทั้งเตือนนักลงทุนว่าไม่ควรหลงใหลกับกระแสนี้ให้มากจนเกินไปนัก เพราะหากเทคโนโลยีนี้ไม่สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้จริง ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นไปก็อาจจะร่วงกลับลงมาได้
“การนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจถือเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อใดก็ตามที่มี The Next Big Thing หรือกระแสใหญ่ๆ เกิดขึ้น บริษัทต่างๆ ก็จะทยอยออกมาบอกว่าตัวเองอยู่หรือมีความเกี่ยวข้องในกระแสดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงโปรดักต์ดังกล่าวอาจจะยังไม่อยู่ในแผนของบริษัทเลยด้วยซ้ำ” ผู้บริหารบริษัทด้านเทคโนโลยีรายหนึ่งเปิดเผยกับ Nikkei
ผู้บริหารรายเดียวกันนี้ ยังตั้งคำถามถึงโอกาสที่เทคโนโลยี AI Chatbot จะประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ของประเทศจีน ที่เต็มไปด้วยการเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมายจากภาครัฐ ขณะที่นโยบายการกำกับดูแลต่างๆ ก็พร้อมที่จะถูกปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปัญหาที่บริษัทเทคโนโลยีจีนต่างต้องเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
Kai Wang นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาวุโสจาก Morningstar Asia ระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีของจีนในเวลานี้ต่างมีความเชื่อว่าเทคโนโลยี AI Chatbot ที่มีประสิทธิภาพอย่าง ChatGPT จะสามารถเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับตัวเองได้ ทำให้เมื่อ Baidu ประกาศเปิดตัว ‘ERNIE Bot’ บริษัทอื่นๆ จึงต้องโหนกระแสดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Wang ได้เตือนด้วยว่า การพัฒนาเทคโนโลยี AI Chatbot ระดับสูงในประเทศจีนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยยังมีความไม่แน่นอนอีกมากมายเกี่ยวกับภูมิทัศน์ด้านการแข่งขัน กฎระเบียบข้อบังคับ และท้ายที่สุดคือการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ในระยะยาว ว่าจะสามารถทำออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
อ้างอิง: