วันนี้ (25 มกราคม) ทำเนียบขาวเผย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เตรียมยกเลิกมาตรการแบนทรานส์เจนเดอร์ห้ามเข้าทำงานในกองทัพสหรัฐฯ หลังรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ผลักดันมาตรการดังกล่าว จนได้รับไฟเขียวจากศาลสูงสหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ให้อำนาจกองทัพในการตัดสินใจ คาดจะลงนามคำสั่งยกเลิกการแบนในวันจันทร์นี้ ตามเวลาท้องถิ่น
รัฐบาลของทรัมป์เดินหน้าผลักดันมาตรการนี้ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 โดยอ้างว่า กลุ่มทรานส์เจนเดอร์นี้อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพ ความกลมเกลียวกัน รวมถึงความพร้อมต่างๆ และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นภายในกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งตลอด 4 ปี ภายใต้การบริหารประเทศของทรัมป์ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) โดยเฉพาะทรานส์เจนเดอร์ รวมถึงกลุ่มคนชายขอบอื่นๆ ต่างถูกลิดรอนและจำกัดสิทธิเป็นอย่างมาก
รัฐบาลของไบเดนจึงสานต่อนโยบายสำคัญที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่สนับสนุนความแตกต่างหลากหลาย เพื่อสะท้อนภาพความเป็นจริงของสังคมอเมริกันที่หลอมรวมกับความหลากหลาย กลายเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมดังเช่นในปัจจุบัน
จากการเก็บรวบรวมสถิติและวิเคราะห์ข้อมูลของ RAND Corporation เมื่อปี 2016 พบว่า กองทัพสหรัฐฯ มีทรานส์เจนเดอร์เข้ารับราชการทหารราว 1,320-6,630 นาย ตัวเลขคาดการณ์การเข้ารับฮอร์โมนของทรานส์เจนเดอร์ในกองทัพอยู่ที่ราว 30-140 ครั้งต่อปี ขณะที่ตัวเลขการผ่าตัดที่เกี่ยวโยงกับการแปลงเพศจะอยู่ที่ราว 25-130 ครั้งต่อปี ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ราว 2.4-8.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับงบประมาณด้านสุขภาพที่ทุ่มให้กับกองทัพทั้งหมด
นอกจากความหลากหลายในมิติทางเพศแล้ว ไบเดนยังแต่งตั้ง ลอยด์ ออสติน อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางกองทัพสหรัฐฯ ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ นับเป็นคนผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้คุมเพนตากอน กระทรวงกลาโหมของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
ภาพ: Shah Marai / AFP
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
