วันนี้ (22 กันยายน) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ กล่าวว่า จะมีการพูดคุยกันภายใน 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวเรียบร้อย ส่วนไทม์ไลน์การทำงานขอให้มีการนัดประชุมในครั้งแรกก่อน ซึ่งจะเห็นวัตถุประสงค์ ขอบเขต เป้าหมาย การร่างกฎหมายลูกต่างๆ ด้วย
“ผมอยากเห็นการเลือกตั้งครั้งหน้ามีกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ และมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญใหม่ให้สำเร็จ เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง” ภูมิธรรมกล่าว
ภูมิธรรมยังกล่าวอีกว่า ได้ทาบทามผู้ที่มาร่วมเป็นคณะกรรมการชุดดังกล่าวโดยได้พูดคุยกับ เอกชัย ไชยนุวัติ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม, สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นิกร จำนง ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งบุคคลเหล่านี้ให้ความสนใจ แต่ก็ต้องพูดคุยในรายละเอียด เพราะอยากให้ทุกคนที่เข้ามาร่วมเกิดความสบายใจและทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย และขณะนี้อยู่ระหว่างการทาบทาม พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
ส่วนจะมีการทาบทาม วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย หรือไม่ ภูมิธรรมระบุว่า ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับวิษณุ แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะคุย เนื่องจากวิษณุเป็นผู้รู้ เป็นคนที่เชี่ยวชาญในกฎหมายมากพอสมควร รวมถึงหลายท่านที่เคยมีบทบาท ซึ่งยังไม่มีโอกาสคุย เวลาที่มีประชุมก็สามารถปรึกษาหารือกันได้
เมื่อถามว่าจะมีการเชิญคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 มาร่วมด้วยหรือไม่ ภูมิธรรมระบุว่า ตนยินดีต้อนรับทุกคน แต่ต้องคุยกันในรายละเอียดและกรอบแนวทางว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่าได้ทาบทามตัวแทนพรรคก้าวไกลเข้าร่วมคณะกรรมการชุดดังกล่าวหรือไม่ ภูมิธรรมระบุว่า ในส่วนพรรคการเมืองตนพยายามเชิญมาร่วมให้มากที่สุด แต่เรามีข้อจำกัดเรื่องปริมาณจำนวนคน เมื่อลิสต์รายชื่อก็เกิน 30 คน ใหญ่มากเกินไปก็ทำงานลำบาก แต่ถ้าไม่ได้เป็นคณะกรรมการก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วม พบปะพูดคุยแสดงความคิดเห็น
สำหรับงบประมาณในการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า ในส่วนของการทำประชามติจะใช้งบประมาณครั้งละประมาณ 3-4 พันล้านบาท หากทำครบ 3-4 ครั้ง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะใช้งบประมาณสูงถึงหมื่นล้านบาท แต่ตนคิดว่าอยู่ในแนวทางที่จะต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน อาศัยความคิดเห็นจากคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งเราพยายามจะทำให้การทำประชามติน้อยครั้งที่สุด อันไหนสามารถควบรวมได้ก็จะทำ เพื่อให้ประหยัดงบประมาณให้ได้มากที่สุด โดยยึดแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยไว้
ผู้สื่อข่าวยังถามถึงมุมมองเรื่องมาตรฐานจริยธรรม กรณี พรรณิการ์ วานิช ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต และพรรคก้าวไกลก็ออกมาระบุว่า ปัญหาอยู่ที่รัฐธรรมนูญนั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า อะไรที่เป็นประชาธิปไตยเราทำได้หมด เว้นการแก้ไขในหมวด 1 และ 2 ในแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น เราต้องดูเจตจำนง ที่จะควบคุมดูแลนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องดูว่าไม่ละเมิดและมีความเที่ยงตรงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งก็ต้องไปดูในรายละเอียด
เมื่อถามว่าที่มีการวิจารณ์ว่าประมวลกฎหมายที่ออกโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมาบังคับใช้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อาจจะไม่ถูกหลัก หรือกรณีที่ศาลตัดสินว่าไม่ผิด แต่กลับผิดหลักจริยธรรมไปก่อนหน้านี้นั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องดูเป็นรายกรณี แต่การอิงศาลรัฐธรรมนูญในเบื้องต้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แม้จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
ภูมิธรรมยังกล่าวด้วยว่า อะไรที่เป็นปัญหามากเกินไปคนในกลุ่มวิชาชีพที่เราเชิญมาหรือรับฟังมาก็จะเป็นคนให้ความเห็นเองว่า เรื่องไหนโอเค หรือเรื่องไหนต้องมีการปรับปรุงแก้ไข
“ผมคิดว่าหากระดมความคิดเห็นได้กว้างขึ้น รัฐธรรมนูญก็จะไม่มีปัญหา เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทุกฝ่ายต้องยอมรับและผ่านให้ได้ และผมคิดว่าถ้ารัฐธรรมนูญผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยในลำดับใด มันก็จะทำให้โอกาสและบรรยากาศของประเทศพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น” ภูมิธรรมกล่าว